เทคนิคในการจัดกิจกรรมโดยใช้ภาษาอังกฤษให้สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กปฐมวัย
เทคนิคการสอนคําศัพทภาษาอังกฤษสําหรับเด็กวัยอนุบาล
1. การเลือกคําศัพท ควรจัดคําศัพทใหอยูในหมวดหมูเดียวกันจะชวยใหจําไดงายขึ้น เชน ศัพทเกี่ยวกับอาหาร เครื่องใชไฟฟา อวัยวะรางกาย สีตางๆ เปนตน
2. วิธีการสอน เนนใหเด็กไดฝกการใชศัพท การสอนศัพทเพียงครั้งเดียวไมพอ จะตองทบทวนบอยๆ ดวยวิธีการอัน หลากหลาย เพื่อมิใหเด็กเกิดความเบื่อหนาย และควรหมั่นทบทวนบอยๆ เพราะถาศัพทที่สอนไปแลวไมไดใช เด็กก็อาจลืมได
3. การสอนคําศัพทใหม การสอนศัพทใหม ควรสอนใหผานประสาทสัมผัสใหมากที่สุด โดยใชรูปแบบประโยคหรือศัพทที่เด็ก เคยเรียนรูมาแลว โดยมีคําที่เปนศัพทใหมปนอยูเพียงคําเดียว แลวใหเดาความหมายของคําศัพทนั้น วิธีนี้จะ ทําใหนักเรียนจําความหมายไดดีกวาแบบบอกตรงๆ
4. การเชื่อมโยงคําศัพทภาษาอังกฤษกับภาษาไทย การแปลความหมายของศัพทเปนภาษาไทยตรงๆ ควรทําตอเมื่อเห็นวาไมอาจใชวิธีอื่นที่ดีกวา เหมาะสมกวาการใหความหมายของคําในภาษาอังกฤษเปนภาษาไทยนั้น ไมเสียหายอะไร แตการแปลแบบ คําตอคําจะทําใหแปลไมรูเรื่องเขาไปใหญ
5. สื่อประกอบการสอน ควรใชสื่อของจริงมาประกอบในการสอนคําศัพทใหม ใหตัวอยางแกเด็กใหมากเพื่อใหเด็กใชตัวอยาง นั้นๆ มาทําความเขาใจ
6. การปฏิบัติตอเด็ก เวลาตอบใหเด็กตอบเปนกลุมกอน เพื่อใหเด็กคนอื่นๆไดเรียนรูไปพรอมๆกัน ไมควรแบงกลุมเด็กเกง เด็กออน พยายามใหเด็กเกิดการโตตอบอยางรวดเร็ว แตไมควรคาดคั้นเด็กที่ตอบไมได ใหตอบใหไดแต พยายามชวยเหลือเด็กโดยการแนะเปนแนวทางไปเรื่อยๆแทน
ลําดับขั้นในการสอนศัพทขั้นพื้นฐาน
1. ครูออกเสียงคําศัพททีละคํา 2-3 ครั้ง อยางชัดเจน
2. ครูใหความหมายของคําศัพทดวยการใชสื่ออุปกรณหรือแสดงทาทางประกอบใหเด็กลองเดาดูกอน
3. ครูพูดตัวอยางประโยคประกอบดวยคําศัพทนั้นซ้ําๆ 2-3 ครั้ง โดยใหเด็กลองหัดฟงและพูดไปดวย
4. ครูทบทวนคําศัพทที่สอนผานกิจกรรมการรองเพลง เลานิทาน หรือ เปดโอกาศใหเด็กไดเลนเกมทาง ภาษาที่เกี่ยวของกับคําศัพทที่เรียนมา เพื่อเปนการทบทวนหรือเรียนรูซ้ํา
การสอนคําศัพทภาษาอังกฤษในระดับเด็กอนุบาล สามารถสอนไดหลายวิธีการ เชน เพลง เกม นิทาน ดังตอไปนี้
รูปแบบการสอนคําศัพทภาษาอังกฤษ การสอนภาษอังกฤษสามารถสอนไดในหลานรูปแบบ ในที่นี้ยกตัวอยางใน 3 รูปแบบ คือ การสอน คําศัพทภาษาอังกฤษผานนิทาน การสอนคําศัพทภาษาอังกฤษผานเพลง การสอนภาษาอังกฤษผานเกม
1. การสอนคําศัพทภาษาอังกฤษผานนิทาน
นิทานจัดวาเปนสื่อที่ดีเหมาะที่จะนําไปสอนภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะนิทานประกอบภาพ เพราะภาพ และเนื้อเรื่องในนิทานถือเปนการจําลองเรื่องราว เหตุการณในโลกกวางเปนเรื่องราวสั้นๆ งายๆ สําหรับเด็ก เนื้อเรื่องนาสนใจพรอมภาพประกอบชวยใหเด็กสามารถเชื่อมโยงคําศัพทกับรูปภาพและตัวอักษร ทําใหเด็ก นอกจากจะไดรับความสนุกสนานเพลิดเพลิน มีคติสอนใจ แลวยังเปนการสรางประสบการณในการฟงสิ่งที่ ออกจากปากผูเลาจริงๆ ทั้งความสามารถในการออกเสียง การจดจําโครงสรางรูปคําและการรูวิธีการนําไปใช ในการสนทนา อันจะนําปสูการรักการอานเด็กๆ และเกิดสนใจอยากเรียนรูคําศัพทตางๆ มากขึ้น
เทคนิคการใชนิทานเพื่อสอนภาษาอังกฤษ
1) การเลือกนิทาน นิทานที่จะเลือกควรเปนนิทานที่มีคําสั้นๆ เนนนิทานที่มีภาพประกอบ อาจเปนนิทานเนนสอน คําศัพท หรือนิทานที่เปนเรื่องที่เด็กสามารถมีกิจกรรมและมีสวนรวมกับเรื่องไดดีตามความสนใจของเด็ก มี การใชภาษาที่เหมาะสมตามวัยและพัฒนาการของเด็ก เนื้อเรื่องมีการใชคําศัพทซ้ํา ใชคําคลองจอง และมี รูปแบบประโยคที่เขาใจงาย เรื่องราวไมซับซอน
2) การเลานิทาน กอนการเลานิทาน ควรพูดคุยกับเด็กในหัวขอที่เกี่ยวกับนิทานอาจเปนประสบการณของครูเอง หรือของเด็กคนใดคนหนึ่งในหอง และเนนการจดจําคําศัพทและสํานวนของภษาตางประเทศ ดวยการใชคํา ซ้ํา สรางบรรยากาศของการใชสํานวนของเจาของภาษา เชน ใหเริ่มตนการเลานิทานดวยการบอกเด็กเปน ประโยคภาษาอังกฤษ เชน I’m going to tell you a story about …….หรือ Once upon the time…...เพื่อ เด็กจะสามารถจํารูปแบบการเลานิทานจากครูไดโดยไมตองสอน
ใชน้ําเสียงใหเหมาะกับเรื่องและอารมณของตัวละครที่สวมบทบาทอยู มีการใชเสียงสูง ต่ํา เปน จังหวะ โดยเมื่อถึงจุดสําคัญของเรื่องควรเปดโอกาสใหเด็กมีสวนรวม เชนการตั้งคําถามเปนภาษาอังกฤษใน ขณะที่เด็กกําลังอยูในอารมณรวมอยู โดยอาจใบเปนทาทางตามเรื่องเพื่อใหเด็กเกิดความสนุกสนานมากขึ้น
ควรใชทาทางและสีหนาประกอบการเลา และพยายามใหเด็กมีโอกาสทํากิจกรรมที่เคลื่อนไหว โดยอาจใหเด็กทําทาทางตามตัวละครในเนื้อเรื่อง โดยมีครูเปนผูออกเสียง พูดประโยคตามทาทางนั้นๆ อยาง ชาๆ เพื่อใหเด็กจําทาทางและสําเนียงของภาษา พรอมกับความเพลิดเพลิน นอกจากนี้นักเรียนยังเกิด ความรูสึกวาตนเองมีสวนรวมอยูตลอดเวลา ทําใหการเรียนรูสนุกมากยิ่งขึ้น ครูสามารถใชเกมเพื่อเปนการทบทวนคําศัพทที่เกี่ยวของกับนิทาน มาตอยอดทํากิจกรรมที่ หลากหลายขึ้นเพื่อใหเด็กเขาใจและคุนเคยกับภาษาและคําศัพทในเนื้อเรื่อง
ครูสามารถเลาซ้ําหรือทบทวน อยูเสมอ
3) การจัดการชั้นเรียน ครูอาจจะลองจัดที่นั่งใหเด็กใหมใหเด็กลงมานั่งที่พื้นลอมรอบตัวครู หรือ ออกไปเลานิทาน กลางแจงใตรมไม เพื่อสรางบรรยากาศแปลกใหมและพิเศษ
4) สื่อประกอบการเลานิทาน ควรหาอุปกรณและสื่อที่ดึงดูดใหเด็กสนใจวาจะเกิดอะไรขึ้นในชั่วโมงนั้นๆ เชน การนําเพลงมา ใชประกอบเนื้อเรื่องมาเปด เพื่อใชเสียงเพลงกระตุนความรูสึกของเด็กอาจใหเด็กเคลื่อนไหวตามจังหวะหรือ แสดงทาประกอบคําศัพทในเพลงอยางงายหรืออาจใชเทคนิค Finger Play มาสอนคําศัพทในนิทาน การนํา ตุกตามาสมมุติเปนตัวละคร การจัดทําฉากนิทาน3มิติ
2. การสอนคําศัพทภาษาอังกฤษผานเพลง
เพลงเปนสิ่งที่มีประโยชนตอการจัดการเรียนรู ครูผูสอนสามารถใชเพลงสอดแทรกเขาไปในบทเรียน หรือในขณะดําเนินการสอนทุกขั้นตอน ทั้งนี้ขึ้นอยูกับความสอดคลองในเนื้อหาสาระและจุดประสงคการ เรียนรูที่ตองการใหเกิดกับผูเรียนเจริญเติบโตทั้งทางดานรางกาย อารมณ สังคม และสติปญญา ธรรมชาติ ของเด็กชอบการเลนสนุกสนาน ตองการแสดงออก และการรองเพลงอยูแลว หากครูผูสอนไดนําเพลง ภาษาอังกฤษมาประกอบการเรียนการสอน ใหบทเรียนมีความหมาย นาสนใจและสนุกสนานมีชีวิตชีวา ยอมจะชวยใหการสอนภาษาอังกฤษมีความหลากหลายมากขึ้น ไมจํากัดอยูแคการจดจํากฎเกณฑเพียง อยางเดียว เปนการทบทวนเนื้อหาไดเรียนรูไปแลว ใหผูเรียนจดจําไดดียิ่งขึ้น และปลูกฝงเจตคติที่ดีตอ ภาษาอังกฤษ
เทคนิคการใชเพลงเพื่อสอนภาษาอังกฤษ
1) การเลือกเพลง
1. เพลงนั้นตองไมยาวเกินไป เพลงควรมีทํานอง คํารองที่ชัดเจน และไมยาวจนเกินไป
2. เพลงควรมีทํานองที่ซ้ํากัน ซึ่งเปนการงายตอการเรียน
3. เนื้อหาควรถูกตองตามไวยากรณ เชน Subject Verb, Agreement และWord Order
4. เลือกเพลงใหเหมาะสมกับอายุและระดับชั้นของผูเรียน ดังนั้น กอนการนําเพลงมาใชประกอบการเรียนการสอน จึงควรพิจารณาลักษณะของเพลงวา เหมาะสมเพียงไร
2) ลําดับขั้นตอนการสอนเพลง
1. ครูอธิบายสั้นๆใหนักเรียนเขาใจ เปนบทเพลงเกี่ยวกับอะไร ครูอาจใชอุปกรณการสอน ชวยแสดงความหมายของคําศัพทบางคําที่นักเรียนไมเคยเรียนมากอน
2. ครูรองใหนักเรียนฟง1-2จบ
3. ครูรองนํา1 หรือ2 บรรทัด ใหนักเรียนรองตามเมื่อแนใจวานักเรียนรองไดถูกตองทั้งคํา รองและทํานองจึงรองนําบรรทัดตอไป โดยรองทวนบรรทัดตนๆกอนทุกครั้ง
4. ครูรองพรอมกับนักเรียนตั้งแตตนจนจบ ถาเนื้อเพลงยาวและมีคํายาก ครูอาจเขียนเนื้อ เพลงใหนักเรียนดูในขั้นตอนก็ได อยางไรก็ตาม ไมควรเขียนเนื้อเพลงใหนักเรียนดูกอน เพราะจะทําให นักเรียนเปนกังวลตอการอานหรือสะกดตัวมากไป
5. ครูเขียนเนื้อเพลงใหนักเรียนอานและคัดลอกลงในสมุด ดังนั้นจะเห็นไดวา การสอนเพลงใหถูกวิธีตองปฏิบัติอยางมีขั้นตอน ครูผูสอนตองวางแผน เตรียมสื่อ อุปกรณตางๆใหพรอมโดยเฉพาะตัวครูเอง ตองมีความพรอมเปนอับดับแรก อยางไรก็ตามกอนการรองเพลง ทุกครั้งตองไมลืมที่จะบอกผูเรียนวาเพลงนั้นๆเปนคํารองและทํานองของใคร(ถาทราบ) เพื่อใหเกียรติผูแตงคํา รองและทํานองนั่นเอง
3) การจัดการเรียนการสอน
ในการสอนเพลงภาษาอังกฤษ ไมใชแตตองการใหผูเรียนสามารถรองเพลงไดถูกตองทั้งคํารอง ทํานองและจังหวะเทานั้น แตครูผูสอนยังตองใชวิธีการตางๆใหผูเรียนรองเพลงอยางเขาใจความหมายและ วัฒนธรรมเจาของภาษา และใชเพลงเปนเครื่องมือเสริมประสบการณตางๆไดดวยตนเอง
1. เลาเรื่องหรือสรางเรื่องปากเปลาเกี่ยวกับเพลงนั้น
2. เขียนเรื่องเกี่ยวกับเพลงนั้น
3. ดัดแปลงเนื้อเพลงเปนบทสนทนาสั้นๆ
4. นําแบบประโยคที่พบในบทเพลงที่เรียนในบทที่แลวมาเปนตัวอยางในการสรางประโยคใหม
5. หาคําใหมมาใชประโยคเดิมในบทเพลงนั้น
6. คิดหาทางายๆหรือการแสดงประกอบจังหวะงายๆมาใชประกอบ
ดังนั้น สรุปไดวา การใชเพลงเพื่อสงเสริมทักษะการเรียนรูทางภาษาจะมีประโยชนโดยตรงตอผูเรียน มาก หากครูผูสอนเขาใจจุดประสงคการสอนเพลง เลือกเพลงไดเหมาะสมกับระดับของผูเรียน และปฏิบัติ อยางมีขั้นตอน
3. การสอนคําศัพทภาษาอังกฤษผานเกม
เกมเปนหนึ่งในการจัดการเรียนการสอนโดยเฉพาะเกมภาษาอังกฤษซึ่งภาษาอังกฤษมีความสําคัญ ตอการเรียนการสอนอยูเสมอ เพราะภาษาอังกฤษเปนภาษาระหวางชาติที่ใชกันอยางแพรหลายทั่วโลกการใช เกมประกอบการสอนภาษาอังกฤษจะชวยทําใหผูเรียนสนุกสนานกับบทเรียน ไมนาเบื่อ เปดโอกาสใหผูเรียน ฝกความกลาในการใชภาษา ทําใหผูเรียนมีความมั่นใจเมื่อนําภาษาอังกฤษไปใชในชีวิตประจําวัน และชวย ใหผูเรียนมีทัศนคติที่ดีตอการเรียนการสอนภาษาอังกฤษดวย สวนประกอบของเกมไดแก ชื่อเกม จุดมุงหมาย การแบงกลุม อุปกรณ และขอเสนอแนะในการเลนเกมผูสอนและผูเลนควรดัดแปลงแตละเกมใหเหมาะสมกับ สภาพหองเรียน ระดับความรู และความสามารถของผูเรียนดวย
เทคนิคการใชเพลงเพื่อสอนภาษาอังกฤษ
1) การเลือกเพลง เกมภาษาแบงได 2 ประเภทคือ
1. Communicative Games เกมนี้มีจุดประสงคใหผูเรียนสื่อสาร สนทนา แลกเปลี่ยน หรือ ปรับปรุงแตงขอมูล โดยใชโครงสราง ภาษาหรือคําศัพทที่กําหนดให
2. Non-communicative Games เกมนี้สรางขึ้นเพื่อใหผูเรียนไดรับความสนุกสนาน คลาย ความเครียด สวนใหญเกมเหลานี้จะเนนในรูปการแขงขัน มีผูแพ ผูชนะ
2) ลําดับขั้นตอนการสอนเพลง
1.ขั้นเลือก ควรคํานึงถึงภาษาที่ใช ควรเหมาะกับระดับความสามารถของผูเรียนและขนาด ของชั้นเรียนดวย
2.ขั้นเตรียมการ เตรียมการใชเกมกอนลวงหนาเปนอยางดี โดยเฉพาะอุปกรณที่จะใชในการ เลนเกม
3.ขั้นการใชเกม อธิบายวัตถุประสงคของเกม และวิธีการเลน พรอมทั้งกําหนดกติกาอยาง ชัดเจน เพื่อใหเกมเปนไปอยางมีระเบียบ จากนั้นลงมือเลนเกม โดยแบงกลุมตามความเหมาะสม
4.ขั้นประเมินผล ถาหากการเลนเกมเปนแบบลักษณะการแขงขัน ควรใหคะแนนสําหรับกลุม ที่ทําไดถูกตองโดยการเขียนคะแนนบนกระดาน กลุมใดที่ทําผิดพลาดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
3) การจัดการเรียนการสอน
1.ทําความคุนเคยกับเกมมากอนนําไปใชประกอบการสอน โดยอานกติกาเลนหลายๆครั้ง เพื่อใหเกิดความเขาใจที่ดี
2.เลือกใชใหเหมาะสมกับขั้นตอนการสอน โดยพิจารณาวาควรใชเกมใดในขั้นตอนใด
3.อธิบายวิธีการเลนเกมแกผูเรียนอยางชัดเจน จงตระหนักเสมอวาเด็กทุกคนในชั้นเรียน เขาใจวิธีการเลน
4.ควรแสดงวิธีการเลนดวยตนเอง โดยยืนอยูหนาชั้นเรียน เพื่อใหผูเรียนทั้งชั้นมองเห็นอยาง ทั่วถึง
5.ควรปฏิบัติตามกติกาที่กําหนดไวในแตละเกมอยางเครงครัด
6.ควบคุมเกมในขณะที่เลนอยาใหผูเลนสงเสียงดังมากเกินไป ทําใหระเบียบวินัยของ หองเรียนเสีย
7.สังเกตปฏิกิริยาของผูเรียนแตละคนในขณะที่เลน ไมควรติเตียนผูกระทําผิดอยางรุนแรง 8.อยาเลนเกมนั้นนานจนเกินไป แตละเกมควรใชเวลา 8-10 นาที
9.อยาใชเกมบางอยางบอยนัก เพราะจะทําใหผูเรียนไมกระตือรือรนในการเลน
10.ศึกษาขอเสนอแนะของเกมแตละอัน เพื่อดัดแปลงวิธีเลนใหสอดคลองตามสภาพการ เรียนการสอน
ที่มา : http://www.programmee.com/cu_web/activity/ASEAN%20FAMILY%20NEW.pdf
พัฒนาการและการเรียนรู้ภาษาของเด็กปฐมวัย
การเรียนรู้ภาษาของเด็กปฐมวัยจะแตกต่างไปจากวิธีการเรียนรู้ภาษาของผู้ใหญ่เนื่องจากระดับวุฒิภาวะทางสติปัญญาของเด็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ เด็กยังไม่สามารถคิดสิ่งที่เป็นนามธรรมได้ ไม่สามารถใช้อวัยวะทุกส่วนที่เกี่ยวกับการพัฒนาทางภาษาได้อย่างเต็มที่ ความสามารถเหล่านี้ขึ้นอยู่กับระดับพัฒนาการของเด็กแต่ละวัย และเนื่องจากภาษามีคุณสมบัติที่เป็นนามธรรม จึงต้องใช้สัญลักษณ์พิเศษแทนความหมาย ซึ่งเด็กเล็กจะเรียนรู้ภาษาได้จากการได้ยินได้ฟังการพูดของพ่อแม่ ผู้เลี้ยงดู หรือจากการดำรงชีวิตประจำวันเมื่ออยู่ที่บ้าน จากนั้นเมื่อมาอยู่ในสถานศึกษาเด็กจะเรียนรู้จากครูและผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยการเลียนแบบเสียงที่ได้ยินจากผู้อื่นก่อนและจะสะสมคำแล้วสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นเอง ด้วยการนำคำที่สะสมไว้มาผสมผสานกันเพื่อเปล่งเสียงออกมา พัฒนาการต่อมาเมื่อเด็กโตขึ้น ก็จะเพิ่มคำเรื่อย ๆ และผูกเป็นประโยคตามขั้นตอนหรือพัฒนาการการเรียนรู้ภาษาของเด็ก อย่างไรก็ตามเพื่อให้เด็กเรียนรู้ภาษาเป็นไปตามพัฒนาการ พ่อแม่ ครูผู้ปกครองหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ต้องจัดประสบการณ์ทางภาษาให้มีความหมายกับเด็กประกอบกับการแสวงหาแนวทางในการส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาที่หลากหลายให้เหมาะสมกับความแตกต่างของเด็กเป็นรายบุคคล เพื่อเด็กจะได้เกิดการเรียนรู้ภาษาอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
การเรียนรู้แบบลงมือกระทำ : หัวใจสำคัญของกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย
การเรียนรู้แบบลงมือกระทำ (Active Learning) เป็นการเรียนรู้ซึ่งเด็กได้จัดกระทำกับวัตถุ ได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล ความคิด และเหตุการณ์ จนกระทั่งสามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Hohmann and Weikart, 1995) การเรียนรู้แบบลงมือกระทำเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาเด็ก และจะเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดในโปรแกรมที่พัฒนาเด็กอย่างเหมาะสมกับพัฒนาการ การเรียนรู้แบบลงมือกระทำมีองค์ประกอบที่สำคัญ ดังนี้ 1. การเลือกและตัดสินใจ เด็กจะเป็นผู้ริเริ่มกิจกรรมจากความสนใจและความตั้งใจของตนเอง เด็กเป็นผู้เลือกวัสดุอุปกรณ์และตัดสินใจว่าจะใช้วัสดุอุปกรณ์นั้นอย่างไร การที่เด็กมีโอกาสเลือกและตัดสินใจจะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองมากกว่าได้รับการถ่ายทอดความรู้จากผู้ใหญ่ ดังนั้น ผู้ใหญ่ที่ตระหนักถึงความสำคัญเรื่องการเลือกและการตัดสินใจ ต้องจัดให้เด็กมีอิสระที่จะเลือกได้ตลอดทั้งวันขณะที่ปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน ไม่ใช่เฉพาะในช่วงเวลาเล่นเสรีเท่านั้น 2. สื่อ ห้องเรียนที่เด็กเรียนรู้แบบลงมือกระทำจะมีเครื่องมือ และวัสดุอุปกรณ์ที่หลากหลาย เพียงพอ และเหมาะสมกับระดับอายุของเด็ก เด็กต้องมีโอกาสและมีเวลาเพียงพอที่จะเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์อย่างอิสระ เมื่อเด็กใช้เครื่องมือหรือวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เด็กจะมีโอกาสเชื่อมโยงการกระทำต่างๆ และเรียนรู้ในเรื่องของความสัมพันธ์ และมีโอกาสในการแก้ปัญหามากขึ้นด้วย 3. การใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 การเรียนรู้ด้วยการลงมือกระทำเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประสาทสัมผัสทั้ง 5 การที่ให้เด็กได้สำรวจและจัดกระทำกับวัตถุโดยตรงทำให้เด็กรู้จักวัตถุ หลังจากที่เด็กคุ้นเคยกับวัตถุแล้วเด็กจะนำมาวัตถุต่างๆมาเกี่ยวข้องกันและเด็กจะได้เรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์ ผู้ใหญ่มีหน้าที่จัดให้เด็กค้นพบความสัมพันธ์เหล่านี้ด้วยตนเอง 4. ภาษาจากเด็ก สิ่งที่เด็กพูดจะสะท้อนประสบการณ์และความเข้าใจของเด็ก ในห้องเรียนที่เด็กเรียนรู้แบบลงมือกระทำเด็กมักจะเล่าว่าตนกำลังทำอะไร หรือทำอะไรไปแล้วในแต่ละวัน เมื่อเด็กมีอิสระในการใช้ภาษาเพื่อสื่อความคิดและรู้จักฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เด็กจะเรียนรู้วิธีการพูดที่เป็นที่ยอมรับของผู้อื่น เด็กจะได้พัฒนาการคิดควบคู่ไปกับการพัฒนาความเชื่อมั่นในตนเองด้วย 5. การสนับสนุนจากผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ในห้องเรียนที่เรียนรู้แบบลงมือกระทำต้องสร้างความสัมพันธ์กับเด็ก สังเกตและค้นหาความตั้งใจและความสนใจของเด็ก ผู้ใหญ่ควรรับฟังเด็ก ส่งเสริมให้เด็กคิดและทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง ในห้องเรียนที่เด็กเรียนรู้แบบลงมือกระทำ เด็กจะได้ปฏิสัมพันธ์กับวัตถุ คน แนวคิด และเหตุการณ์สำคัญต่างๆ อย่างหลากหลาย สิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในชีวิตประจำวันอย่างเป็นธรรมชาติ และการที่เด็กมีประสบการณ์สำคัญซ้ำแล้วซ้ำอีกเช่นนี้ก็จะช่วยให้เด็กสามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเองในที่สุด การจัดประสบการณ์ให้เด็กเรียนรู้แบบลงมือกระทำเป็นการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับหลักการทำงานของสมอง และเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง กล่าวคือ เมื่อเด็กลงมือปฏิบัติ เด็กจะได้ใช้ผัสสะในการรับรู้ข้อมูลทั้งในรูปของภาพ เสียง สัมผัส ทั้งยังประกอบด้วยประสบการณ์ของเหตุการณ์ต่างๆ การใช้วงจรของเซลส์สมองพร้อมๆ กันมากเท่าใด เสถียรภาพความเชื่อมโยงของวงจรก็เกิดได้เร็วเท่านั้น (สถาบันส่งเสริมอัจฉริยภาพและนวัตกรรมการเรียนรู้, 2550) จึงสามารถกล่าวได้ว่าการจัดการเรียนรู้แบบลงมือกระทำถือเป็นหัวใจสำคัญของกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย
กิจกรรมหลัก 6 กิจกรรม:แนวทางในการจัดประสบการณ์แบบบูรณาการในระดับปฐมวัยที่สอดคล้องกับหลักการทำงานของสมอง
แนวทางการจัดประสบการณ์ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยกำหนดให้จัดประสบการณ์ในรูปแบบบูรณาการทั้งทักษะและสาระการเรียนรู้ คำว่า "บูรณาการ" จึงเป็นคำที่คุ้นเคยสำหรับครู แต่อาจเกิดความเข้าใจที่สับสนว่าการบูรณาการเป็นการนำองค์ความรู้ต่างๆ มากองรวมกัน โดยทึกทักเหมารวมเอาไว้ด้วยกันอย่างไม่สามารถแยกแยะอะไรได้ และอ้างว่าให้เด็กทำกิจกรรม ทั้งๆ ที่ครูก็ไม่ชัดเจนว่าผสมผสานอะไรไว้ด้วยกัน การบูรณาการถือว่าเป็นแนวทางหนึ่งของการสอน รวมทั้งเป็นปรัชญาในการสอนที่นำเนื้อหาความรู้จากหลายวิชามาสัมพันธ์ที่จุดเดียวกัน (Focus) หรือหัวเรื่อง (Theme) เดียวกัน (วลัย พานิช, 2546) ทั้งนี้ วรนาท รักสกุลไทย (2548) ได้สรุปความหมายของการจัดประสบการณ์แบบ บูรณาการไว้ว่าเป็นการจัดประสบการณ์ที่นำความรู้ ความคิดรวบยอด ทักษะ และประสบการณ์สำคัญทั้งมวลที่ผู้เรียนจะได้รับในสาระการเรียนรู้ต่างๆ มาเชื่อมโยงผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างมีความหมาย และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ ซึ่งเป็นการขจัดความซ้ำซ้อน ความไม่สัมพันธ์ และความไม่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในระดับปฐมวัยศึกษา ซึ่งเน้นการพัฒนาโดยองค์รวม
เมื่อพิจารณาความหมายของการบูรณาการจะเห็นได้ว่าความรู้ ความคิด และประสบการณ์สำคัญต่างๆ นั้นต่างมีความสัมพันธ์กัน และหน่วยย่อยที่สัมพันธ์กันเหล่านี้เกิดการผสมผสานหลอมรวมจนเกิดเอกลักษณ์ใหม่ที่มีความเป็นหนึ่งเดียว
แนวทางหนึ่งในการจัดประสบการณ์แบบบูรณาการที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัย ซึ่งเป็นการจัดประสบการณ์ที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง
1. กิจกรรมเสรี เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กเล่นกับสื่อและเครื่องเล่นอย่างอิสระตามมุมเล่น หรือมุมประสบการณ์ หรือศูนย์การเรียนที่จัดไว้ โดยให้เด็กมีโอกาสเลือกเล่นได้อย่างเสรีตามความสนใจและความต้องการของเด็ก ทั้งเป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม ลักษณะของการเล่นของเด็กมีหลายลักษณะ เช่น การเล่นบทบาทสมมติและเล่นเลียนแบบ ในมุมบ้าน มุมหมอ มุมร้านค้า มุมวัด มุมเสริมสวย ฯลฯ การอ่านหรือดูภาพในมุมหนังสือ การเล่นสร้างในมุมบล็อก การสังเกตและทดลองในมุมวิทยาศาสตร์หรือมุมธรรมชาติ การเล่นฝึกทักษะต่างๆ ในมุมเครื่องเล่นสัมผัสหรือมุมของเล่นหรือมุมเกมการศึกษาเป็นต้น
การจัดกิจกรรมเสรี หากครูจัดมุมเล่นโดยจัดวางวัสดุอุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสมกับวัย ไม่ท้าทาย หรือไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรเลยย่อมทำให้เด็กเสียโอกาสในการเรียนรู้ เพราะสมองจะเรียนรู้ได้ดีเมื่อมีสิ่งจูงใจที่ชักนำให้สมองสนใจผลิตความรู้ สมองจะมีกระบวนการเลือกคัดกรองเฉพาะสิ่งที่น่าสนใจเท่านั้นเข้าสู่การรับรู้ของสมอง ทั้งนี้ การจัดมุมเล่นที่ดีที่สามารถส่งเสริมจึงควรจัดสื่อที่ตรงกับความสนใจของเด็ก เหมาะสมกับระดับพัฒนาการ จัดอุปกรณ์ให้เพียงพอกับเด็ก และจัดวางให้เด็กหยิบใช้และเก็บเองได้ จัดให้น่าสนใจ และดึงดูดให้เด็กเข้าไปเล่น โดยมีการเปลี่ยนแปลงสื่อที่จัดไว้อย่างสม่ำเสมอตามหัวข้อที่เด็กสนใจและกำลังเรียนรู้ตามหลักสูตรเพื่อกระตุ้นให้เด็กต้องการเรียนรู้ ทั้งนี้ครูอาจให้เด็กมีส่วนร่วมในการจัดมุมเล่นด้วยก็ได้ สิ่งสำคัญคือต้องจัดเวลาให้เด็กมีโอกาสได้เล่นหรือจัดกระทำกับสื่อต่างๆอย่างเพียงพอ
2. กิจกรรมสร้างสรรค์ เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กได้แสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึก ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และจินตนาการโดยใช้ศิลปะ เช่น การเขียนภาพ การปั้น การฉีกปะ ตัดปะ การพิมพ์ภาพ การร้อย การประดิษฐ์ หรือวิธีการอื่นๆ ที่เด็กได้คิดสร้างสรรค์ ได้รับรู้เกี่ยวกับความงาม และได้แสดงออกทางความรู้สึก และความสามารถของตนเอง การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ควรจัดให้เด็กทำทุกวัน โดยอาจจัดวันละ 3-5 กิจกรรม ให้เด็กเลือกทำอย่างน้อย 1-2 กิจกรรมตามความสนใจ
การจะพัฒนาด้านศิลปะและการสร้างสรรค์ให้เด็กต้องเข้าใจว่า ศิลปะคือกระบวนการที่สมองถอดความคิดออกมาเป็นภาพและชิ้นงานต่างๆกระบวนการพัฒนาศิลปะและการสร้างสรรค์ของเด็กจึงเน้นให้เด็กคิดและลงมือทำออกมาเมื่อเด็กทำงานศิลปะเด็กจะเกิดการเชื่อมโยงในสมอง คิดจินตนาการ และผลโดยตรงที่เด็กได้รับ คือ ความรู้สึกพอใจ มีความสุข และได้สัมผัสสุนทรียะของโลกตั้งแต่วัยเยาว์ การแสดงออกทางศิลปะจึงเปรียบเสมือนการสร้างจินตนาการเป็นรูปร่างภายนอกแล้วป้อนกลับเข้าสู่สมอง เป็นการทำให้สมองได้จัดการกับจินตนาการต่างๆ ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ยิ่งทำ ยิ่งจัดระบบความคิดได้ดีขึ้น ในการใช้กิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาสมอง ครูจึงควรให้เด็กมีเวลาเต็มที่ในการทำงานศิลปะ ให้เด็กมีประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส มีโอกาสทดลองใช้วัสดุ และเครื่องมือที่หลากหลาย ได้พูดคุยเกี่ยวกับงานของตนเองหรือให้เด็กได้จัดแสดงและนำเสนอผลงาน ศิลปะของเด็กไม่ควรเน้นการลอกเลียนแบบ หรือการทำให้เหมือนของจริง เนื่องจากสายตาและจินตนาการของเด็กวัยนี้ยังไม่ได้มุ่งไปสู่ความถูกต้องของสัดส่วน แสง หรือเงา
3. กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างอิสระตามจังหวะ โดยใช้เสียงเพลง คำคล้องจอง เครื่องเคาะจังหวะ หรืออุปกรณ์อื่นๆมาประกอบการเคลื่อนไหว เพื่อส่งเสริมให้เด็กเกิดจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ เด็กวัยนี้ร่างกายกำลังอยู่ในระหว่างพัฒนา การใช้ส่วนต่างๆ ของร่างกายยังไม่ผสมผสานหรือประสานสัมพันธ์กันอย่างสมบูรณ์ การทำกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะช่วยให้เด็กเรียนรู้จังหวะและควบคุมการเคลื่อนไหวของตนเองได้
สมองส่วนที่รับผิดชอบหลักเกี่ยวกับการจัดสมดุลของร่างกาย คือ สมองเล็กหรือซีรีเบลลั่ม (Cerebellum) การกระตุ้นสมรรถนะของสมองส่วนนี้จะส่งผลต่อการพัฒนาความสามารถในด้านการรับข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมไปด้วยพร้อมๆ กัน ช่วงปฐมวัยเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการพัฒนาทักษะเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ซึ่งจะช่วยพัฒนาระบบความสัมพันธ์ของประสาทสัมผัส เด็กต้องพัฒนาความสามารถในการใช้ตา มือ เท้า และประสาทรับความรู้สึกต่างๆ ให้สัมพันธ์กัน การเคลื่อนไหวร่างกายของเด็กเป็นการเตรียมสมรรถนะของร่างกายทุกส่วนเพื่อใช้ประโยชน์ในการมีชีวิตอยู่ และพร้อมกันนั้นการเคลื่อนไหวร่างกายก็พัฒนาความสามารถของสมองอันเป็นเครื่องมือของการเรียนรู้ไปด้วย
4. กิจกรรมเสริมประสบการณ์ เป็นกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้เด็กได้พัฒนาทักษะการเรียนรู้ ฝึกการทำงานและอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มทั้งกลุ่มย่อยและกลุ่มใหญ่ กิจกรรมที่จัดมุ่งฝึกให้เด็กได้มีโอกาสฟัง พูด สังเกต คิดแก้ปัญหา ใช้เหตุผล และฝึกปฏิบัติเพื่อให้เกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับเรื่องที่เรียน โดยจัดกิจกรรมด้วยวิธีต่างๆ เช่น สนทนา อภิปราย เล่านิทาน สาธิต ทดลอง ศึกษานอกสถานที่ เล่นบทบาทสมมติ ร้องเพลง เล่นเกม ท่องคำคล้องจอง ประกอบอาหาร เชิญวิทยากรมาพูดคุยกับเด็กฯลฯ
กระบวนการให้สมองเรียนรู้ที่จะให้ความหมายสิ่งที่เห็น สิ่งที่เผชิญ ตีความ และสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งต่างๆ ที่รับรู้มา เป็นการพัฒนากระบวนการคิดของเด็ก ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลจากการรับรู้ของสมองจำนวนมาก ถ้าไม่มีข้อมูลในความทรงจำ ก็ไม่สามารถคิดอะไรออกมาได้ ดังนั้นกระบวนการพัฒนาการคิดของของเด็กจึงต้องมุ่งเน้นให้เด็กได้มีประสบการณ์ที่ต้องใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า สิ่งที่ก่อรูปในการคิดของเด็กเริ่มต้นที่การจับต้อง สัมผัส และมีประสบการณ์โดยตรง สมองรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า แล้วก่อรูปเป็นวงจรแห่งการคิดขึ้นมาในสมอง ประสบการณ์ของเด็กผ่านการสัมผัส การชิม การดมกลิ่น การได้ยิน และการเห็น จึงเป็นพื้นฐานของการสร้างความหมายให้แก่สิ่งต่างๆ ครูจึงควรออกแบบกิจกรรมเสริมประสบการณ์ให้เด็กเรียนรู้แบบลงมือกระทำซึ่งจะทำให้เด็กมีโอกาสใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า รวมทั้งจัดให้เด็กมีประสบการณ์ในสถานการณ์จำลองทุกอย่างที่เป็นไปได้ เพื่อกระตุ้นให้เด็กคิดสิ่งที่ซับซ้อนขึ้นตามลำดับ เด็กจะได้เคยชินกับการใช้ความคิดและคิดเป็นในที่สุด
5. กิจกรรมกลางแจ้ง เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้มีโอกาสออกไปนอกห้องเรียนเพื่อออกกำลัง เคลื่อนไหวร่างกายและแสดงออกอย่างอิสระ โดยยึดความสนใจและความสามารถของเด็กแต่ละคนเป็นหลัก กิจกรรมกลางแจ้งที่ควรจัดให้เด็กได้เล่น เช่น การเล่นเครื่องเล่นสนามที่เด็กได้ปีนป่าย โยกหรือไกว หมุน โหน เดินทรงตัว หรือ เล่นเครื่องเล่นล้อเลื่อน การเล่นทราย การเล่นน้ำ การเล่นสมมติในบ้านจำลอง การเล่นในมุมช่างไม้ การเล่นกับอุปกรณ์กีฬา การเล่นเกมการละเล่นฯลฯ
การพัฒนาด้านการเคลื่อนไหวของร่างกาย เป็นการพัฒนาโครงสร้างทั้งระบบของร่างกายที่ใช้ในการควบคุมสั่งการตัวเอง และการรับข้อมูลจากสิ่งแวดล้อม กระบวนการพัฒนาร่างกายและการเคลื่อนไหวของเด็กจำเป็นต้องได้รับการกระตุ้นอย่างเต็มที่ เพื่อให้ร่างกายทุกส่วนทั้งกล้ามเนื้อมัดใหญ่และกล้ามเนื้อมัดเล็กให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ กระบวนการเหล่านี้ต้องเน้นให้เด็กได้ใช้งานร่างกายให้ครบถ้วน และพัฒนาจนมีสมรรถนะดีเต็มตามศักยภาพของเด็ก นอกจากนี้การที่เด็กได้เล่น ไม่ว่าจะเป็นการหมุนตัว กระโดด คลาน กลิ้ง วิ่ง ไต่ ฯลฯ จะช่วยพัฒนาความสามารถในการรับรู้ระยะ มิติ มีการพัฒนาสมองให้สมดุลเป็นปกติ สิ่งที่เด็กเล่น เช่น การควบคุมท่าทางการเดิน การวิ่งแข่ง การเล่นกระบะทราย การเดินบนกระดานแผ่นเดียว ล้วนเป็นการทำซ้ำๆดัดแปลงท่าทางที่ไม่สมบูรณ์เพื่อสร้างสมองให้พร้อมสำหรับการใช้งานในวัยถัดไป
6. กิจกรรมเกมการศึกษา เป็นเกมการเล่นที่ช่วยพัฒนาสติปัญญา มีกฎเกณฑ์กติกาง่ายๆ เด็กสามารถเล่นคนเดียว หรือเล่นเป็นกลุ่มก็ได้ ช่วยให้เด็กรู้จักสังเกต คิดหาเหตุผล และเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสี รูปร่าง จำนวน ประเภท และความสัมพันธ์เกี่ยวกับพื้นที่/ระยะ เกมการศึกษาที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย เช่น เกมจับคู่ เกมแยกประเภท จัดหมวดหมู่ เรียงลำดับ โดมิโนลอตโตภาพตัดต่อฯลฯ
- พัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัย
ภาษาของเด็กในวัยนี้มีความสำคัญมาก เด็กพร้อมที่จะฝึกทักษะทางภาษาทั้งในด้านการรู้คำศัพท์ การออกเสียงคำให้ชัดเจน การใช้ประโยคเพื่อการติดต่อสื่อสาร การบอกชื่อวัตถุ สิ่งของ เป็นต้น แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น อายุ เพศ โอกาส และสิ่งแวดล้อมที่เป็นองค์ประกอบในการพัฒนาได้ดีกว่าเด็กชายในระยะแรก แต่อย่างไรก็ตามลักษณะพัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัยเป็นไปตามขั้นตอนมีลักษณะเหมือนขั้นบันไดเริ่มตั้งแต่การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน โดยแต่ละขั้นตอนจะมีความเหลื่อมล้ำเชื่อมสัมพันธ์กันและกัน ไม่แยกกันโดยสิ้นเชิง พัฒนาการทางภาษาขั้นต้นจะเป็นพื้นฐานของการพัฒนาการทางภาษาขั้นที่สูงขึ้น
พัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัย ครอบคลุมทักษะทางภาษา 4 ด้าน ได้แก่ ทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียน ซึ่งแต่ละทักษะจะมีพัฒนาการไปตามวัย ดังนี้
6.1 พัฒนาการด้านการฟัง
การฟังเป็นกระบวนการแรกของการรับรู้ และเป็นตัวจัดประกายให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยวุฒิภาวะ เวลา ความพากเพียร และแรงจูงใจ การพัฒนาการฟังจะเป็นขั้นตอนตามระดับอายุของผู้ฟัง ดังตารางที่ 2.2
ตารางที่ 2.2 พัฒนาการทางภาษาด้านทักษะการฟังของเด็กปฐมวัย
อายุ
|
พัฒนาการด้านการฟัง
|
3 ปี – 4 ปี
|
1. ฟังนิทานสั้น ๆ หนังสือสั้น ๆ หรือเรื่องราวได้อย่างตั้งใจ โดยเฉพาะประเภทเทพนิยาย
2. เข้าใจคำสั่งครู และปฏิบัติตามคำสั่ง ข้างหน้า – ข้างหลัง ข้างบน – ข้างล่าง และข้าง ๆ ได้
3. ปฏิบัติตามคำสั่งได้ 2 – 3 ขั้นตอน
4. สนใจฟังวิทยุ โทรทัศน์ โดยเฉพาะการฟังละคร
|
4 ปี – 5 ปี
|
1. ชอบฟังนิทาน เรื่องสั้น ๆ หรือเรื่องราวและบอกตัวละครที่ชอบได้ โดยเฉพาะประเภทเทพนิยาย เช่น สโนไวท์ ซิลเดอเรลล่า เจ้าหญิงนิทรา ถ้ามีโอกาสได้แสดงบทบาทสมมติตามเรื่อง เด็กจะพอใจมาก
2. ปฏิบัติตามคำสั่งที่ต่อเนื่อง 3 – 4 ขั้นตอน
|
5 ปี – 6 ปี
|
1. ชอบฟังเรื่องราว เรื่องสั้นต่าง ๆ โดยเฉพาะเกี่ยวกับปรากฎการณ์ตามธรรมชาติ และบอกตัวละครที่ชอบได้
2. มีมารยาทในการฟัง
3. มีสมาธิในการฟังเรื่องที่สนใจ
4. รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
5. ฟังคำสั่งหลายขั้นตอนที่ไม่เกี่ยวข้องและสามารถปฏิบัติได้
|
ที่มา (ชิตาพร เอี่ยมสะอาด, 2548 : 24)
6.2 พัฒนาการด้านการพูด
พัฒนาการทางภาษาพูดของเด็กเป็นไปตามขั้นตอนเช่นเดียวกับการฟัง ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสติปัญญา การส่งเสริม และโอกาสในการเรียนรู้ของเด็ก เป็นการพัฒนาที่มีกระบวนการต่อเนื่องมาตั้งแต่แรกเกิด โดยเริ่มจากการฟังเสียงรอบตัวและพัฒนาไปถึงขั้นการใช้คำอย่างมีความหมาย มีการใช้ประโยคยาวขึ้น จนกระทั่งเด็กสามารถใช้ประโยคที่ซับซ้อนและมีความหมายสมบูรณ์มากขึ้นเป็นลำดับ ดังตารางที่ 2.3
ตารางที่ 2.3 พัฒนาการทางภาษาด้านทักษะการพูดของเด็กปฐมวัย
อายุ
|
พัฒนาการด้านการพูด
|
3 ปี – 4 ปี
|
1. สนใจภาษาของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะคำแสลง หรือคำอุทานที่ไม่สุภาพแล้วเก็บมาพูด
2. สนทนาโต้ตอบหรือเล่าเรื่องราวสั้น ๆ ได้
3. ตอบคำถามง่าย ๆ ได้
4. ใช้คำบุพบท บน – ล่าง ได้
5. พูดเลียนแบบจะพูดประโยคยาวมากขึ้น เช่น “หนูรักคุณครูเท่าฟ้า”
6. บอกชื่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายและสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวได้
7. ชอบพูดคนเดียว คุยกับเพื่อนในฝัน
8. ตั้งคำถามผู้ใหญ่ อะไร ทำไม
|
3 ปี – 4 ปี
|
1. สนใจคำถามเกี่ยวกับการเกิด เช่น “หนูออกมาจากท้องแม่ทางไหน” และยังสนใจเรื่องความตาย เช่น “ทำไมคุณปู่จึงตาย” “คุณปู่ตายแล้วไปอยู่ที่ไหน” ”คุณปู่จะทานอาหารอย่างไร”
2. บอกชื่อภาพของสิ่งของที่คุ้นเคยได้
3. ท่องคำคล้องจองหรือเพลงสั้น ๆ พร้อมกับเคลื่อนไหวได้
4. บอกความรู้สึก ความต้องการพื้นฐาน เช่น หิว ร้อน เจ็บปวด และปัสสาวะได้
5. ยังออกเสียงพูดไม่ชัดเจน เช่น ร ล ด ส
|
4 ปี – 5 ปี
|
1. พูดคำคล้องจอง ร้องเพลงสั้น ๆ และทำท่าประกอบได้
2. สามารถเข้าใจคำพูดมากขึ้น
3. สนทนาโต้ตอบหรือเล่าเรื่องราวที่จะพูดเป็นประโยคต่อเนื่องได้
|
ตารางที่ 2.3
อายุ
|
พัฒนาการด้านการพูด
|
4 ปี – 5 ปี
|
4. เข้าใจข้อความยาว ๆ ของผู้ใหญ่ได้ดีขึ้น และพูดประโยคที่ซับซ้อนโดยใช้คำต่าง ๆ ได้
5. บอกชื่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายหรือสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว อยู่ในชุมชนและสังคม รวมทั้งเรียกชื่อวันสำคัญต่าง ๆ ได้
6. บอกความรู้สึกและความต้องการพื้นฐานได้อย่างมีความหมายมากขึ้น
7. ซักถามสิ่งที่อยู่ในใจด้วยคำถาม อะไร ทำไม อย่างไร และตอบคำถามเหล่านั้นได้
8. ใช้ภาษาถูกกาลเทศะขึ้น
9. พยายามพูดข้อความยาว ๆ โดยเลียนแบบผู้ใหญ่ในการสร้างประโยค เช่น “หนูจะอ่านหนังสือทุกวัน จะได้เก่งเหมือนพ่อ”
10. รู้จักคำประมาณ 3,000 – 6,000 คำ
11. ชอบพูดคำว่า “เพราะว่า...”
|
5 ปี – 6 ปี
|
1. ชอบสนทนากับเพื่อนหรือผู้ใหญ่มากกว่าเล่นสิ่งของ
2. มีความสนุกสนานที่ได้สนทนา
3. บอกความต้องการพื้นฐานได้
4. อธิบายความรู้สึกและความต้องการได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว
5. ใช้ท่าทางประกอบในการเล่าเรื่อง
6. อธิบายภาพและเล่าเรื่องจากภาพได้
7. เล่านิทานที่เคยได้ยินหรือสิ่งที่พบเห็นได้
8. ตั้งคำถามถามผู้อื่นว่าอย่างไร
9. ตอบคำถามโดยอาศัยการรับรู้
10. ซักถามสิ่งที่สงสัยและร่วมอภิปรายหาคำตอบได้
11. ใช้คำบุพบท สันธานง่าย ได้ เช่น กับ แต่ และ เป็นต้น
12. พูดคำคล้องจอง ร้องเพลง และทำท่าประกอบได้
|
ที่มา (ชิตาพร เอี่ยมสะอาด, 2548 : 26 – 28)
6.3 พัฒนาการด้านการอ่าน
ทักษะการอ่านเป็นกระบวนการที่ต้องเริ่มต้นตั้งแต่เด็กอยู่ในวัยทารก และเด็กนั้นพร้อมจะอ่านตั้งแต่อยู่ในวัยเกือบจะแรกเกิด โดยเริ่มด้วยความสนใจในรูปภาพที่เร้าใจ ก่อนเริ่มอ่านอักษรหรืออ่านสัญลักษณ์ ลักษณะการอ่านจะเป็นการอ่านจากสิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวันหรืออ่านจากหนังสือภาพแล้วพัฒนาเป็นการอ่านประกอบคำ อ่านพยัญชนะ หรืออ่านประโยคโดยรู้ความหมายมากขึ้นตามลำดับของพัฒนาการเด็ก ดังตารางที่ 2.4
ตารางที่ 2.4 พัฒนาการทางภาษาด้านทักษะการอ่านของเด็กปฐมวัย
อายุ
|
พัฒนาการด้านการอ่าน
|
3 ปี – 4 ปี
|
1. สนใจหนังสือที่ผู้ใหญ่อ่านให้ฟัง
2. เริ่มมีความต้องการที่จะอ่านหนังสือ เช่น หยิบหนังสือมาให้ผู้ใหญ่อ่านให้ฟัง เปิดดูหนังสือด้วยตนเอง เป็นต้น
3. อ่านพยัญชนะได้บ้าง
4. อ่านหนังสือประกอบภาพได้คล่อง แต่จำอักษรไม่ได้
5. ชอบดูรูปภาพสัตว์เลี้ยง ดอกไม้
6. อาจรู้จักคำง่าย ๆ (บางคนใช้วิธีท่องจำ บางคนก็จำได้เอง)
7. เปิดและทำท่าอ่านหนังสือ
|
3 ปี – 4 ปี
|
1. แสดงความสนใจที่จะอ่านด้วยการมองภาพและตัวหนังสือในนิทาน
2. ทำท่าอ่านหนังสือโดยอาศัยภาพและความจำ
3. เลือกหนังสือที่ตนสนใจให้ผู้อื่นอ่านให้ฟัง
4. อ่านคำสั้น ๆ ได้โดยอาศัยความจริง
5. จำพยัญชนะได้แม่นยำโดยไม่ต้องใช้ภาพช่วย
6. เริ่มรู้จักตัวสะกดง่าย ๆ
7. ชอบอ่านหนังสือเสียงดังเต็มที่
8. สนใจหนังสือตัวโต ๆ คำง่าย ๆ
|
4 ปี – 5 ปี
|
1. สามารถเข้าใจหนังสือรูปภาพได้รวดเร็ว
2. ชอบหนังสือเกี่ยวกับอนามัย หรือการใช้เหตุผลง่าย ๆ หรือการใช้คำสุภาพ
3. อ่านชื่อตัวเอง ป้ายประกาศ ชื่อขนมที่รับประทานบ่อยได้บ้าง
4. ชอบอ่านโฆษณาในโทรทัศน์ ยี่ห้อรถยนต์ หรือยี่ห้อสินค้าอื่น ๆ
|
ตารางที่ 2.4
อายุ
|
พัฒนาการด้านการอ่าน
|
5 ปี – 6 ปี
|
1. อ่านเป็นจริงเป็นจังขึ้น
2. สนุกกับการอ่านชีวประวัติบุคคลสำคัญ
3. อ่านหนังสือรู้ความหมายมากขึ้น
4. เปิดและทำท่าอ่านหนังสือโดยอาศัยภาพและความจำ
5. เลือกหนังสือที่ตนสนใจให้ผู้อื่นอ่านให้ฟัง
|
ที่มา (ชิตาพร เอี่ยมสะอาด, 2548 : 29 – 30)
6.4 พัฒนาการด้านการเขียน
การเขียนของเด็กเริ่มจากการขีดเขี่ยเส้นที่ไม่มีความหมายจนเป็นตัวอักษรได้ใกล้เคียงกับผู้ใหญ่ ซึ่งพัฒนาการในการเขียนของเด็กนั้นขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความสนใจ วุฒิภาวะทางอารมณ์ ความสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อตาและสติปัญญา ครูผู้สอนจึงควรเตรียมเด็กให้พร้อมในองค์ประกอบดังกล่าวก่อนที่จะสอนเขียนอย่างเป็นทางการ การสอนนั้นไม่ควรบังคับเด็กเพราะจะทำให้เด็กเกิดความเครียดวิตกกังวลต่อการเขียน ท้ายสุดส่งผลให้เด็กเกิดเจตคติที่ไม่ดีต่อการเขียนจากแรงจูงใจภายในที่จะเขียน แต่ควรให้เขียนเมื่อเด็กต้องการจะเขียน สำคัญที่สุดคือควรเตรียมความพร้อมในการเขียนให้เด็กตามพัฒนาการแต่ละวัย ซึ่งพัฒนาการเขียนของเด็กปฐมวัยสรุปได้ดังตารางที่ 2.5
ตารางที่ 2.5 พัฒนาการทางภาษาด้านทักษะการเขียนของเด็กปฐมวัย
อายุ
|
พัฒนาการด้านการเขียน
|
3 ปี – 4 ปี
|
1. จำชื่อตัวเองได้ หรืออาจเขียนชื่อตนเองได้
2. เขียนอักษรได้บางตัว
3. ขีดเขียนตามความสนใจ
4. ชอบวาดภาพระบายสี
5. วาดรูปวงกลมตามแบบได้
6. คัดลอกตัวอักษรที่เห็นได้
7. บอกข้อความให้ผู้ใหญ่เขียนได้
|
4 ปี – 5 ปี
|
1. เขียนชื่อตนเองได้แต่ตัวอักษรอาจไม่เท่ากัน
2. เขียนพยัญชนะ ตัวเลขได้ แต่อาจไม่เรียงลำดับ
3. เขียนตัวอักษรได้แต่บางทีหัวกลับ หรือสลับตัวอักษร
4. เขียนตามแบบผู้ใหญ่ได้
5. วาดภาพที่ยากขึ้นได้และภาพมีความสมบูรณ์ขึ้น
6. วาดรูปสี่เหลี่ยมตามแบบและวงกลมเข้าด้วยกันได้
7. ใช้เชือกร้อยสิ่งของได้
8. ตัดกระดาษให้อยู่ในแนวระหว่างเส้นสองเส้นได้
9. ขีดเขียนเป็นลายเส้นคล้ายตัวอักษร
|
5 ปี – 6 ปี
|
1. วาดรูปสามเหลี่ยม (D) ตามแบบได้
2. ใช้เชือกร้อยวัสดุตามแบบได้
3. ตัดกระดาษตามเส้นได้
4. เขียนโดยคิดตัวสะกดขึ้นเอง เช่น “ก ข” แทนคำว่ากินข้าว
5. เขียนสะกดคำใกล้เคียงกับวิธีสะกดของผู้ใหญ่
6. เขียนคำที่คุ้นเคยได้
7. สื่อความหมายของคำที่เขียนได้มากขึ้น
8. ขีดเขียนชื่อตนเอง คำ ข้อความที่ลอกหรือจำมาได้
|
ที่มา (ชิตาพร เอี่ยมสะอาด, 2548 : 31 – 32)
www.yalaopec.go.th/yalaopec2011/images/stories/082556/0956/7.doc
สรุปได้ว่า พัฒนาการทางภาษาเริ่มพัฒนาเป็นกรรมานการอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่แรกเกิด แล้วจะพัฒนาการไปตามลำดับขั้นตอนของพัฒนาการตามวัยของเด็กโดยเริ่มจากการฟังเสียงจากสิ่งรอบตัว แล้วพัฒนาไปสู่คำที่มีความหมาย
พัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัยมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตามระดับอายุ และเป็นไปอย่างต่อเนื่อง แต่ละขั้นตอนมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน นั่นคือพัฒนาการทางภาษาขั้นต้นเป็นพื้นฐานของการพัฒนาขั้นที่สูงขึ้นโดยเริ่มจากทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียนตามลำดับ กล่าวคือ พัฒนาการด้านการฟังเป็นฐานข้อมูลไปสู่พัฒนาการด้านการพูดส่วนการอ่านเป็นฐานข้อมูลไปสู่พัฒนาการด้านการเขียน เป็นต้น