วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2560

เนื้อหาที่5 ตัวอย่างและผลงาน


สัปดาห์ที่ 1 สร้างบล็อก และสร้างสื่อคำศัพท์ที่เลือก5คำ



สัปดาห์ที่ 2 ฝึกออกเสียงphonetics และเขียนชื่อตัวเอง






ค้นหาคำศัพท์จากหนังสือ Excellent1


ตัวภาษาอังกฤษ E F G พร้อมเส้นประ

ตัวอย่างคำศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วย  E F G



Mapping Articulators


คำศัพท์  e f g 


ค้นหาคำศัพท์จากหนังสือ Excellent 1

ปดาห์ที่ 4 เลือกเพลงจากที่ครูกำหนด นำเพื่อนร้องและเต้น 

กลุ่มละมุนณีเลือกเพลง "Londonbridge"


สัปดาห์ที่ 5 เขียน Verb , noun , adjectives จากหนังสือของกลุ่ม





ปดาห์ที่ 7 กลุ่มละมุนณีได้ข้อ 4. ai j oa ie ee or




สัปดาห์ที่ 8 ทำสื่อคำศัพท์ที่จับฉลากได้

สัปดาห์ที่ 9 ทำสื่อคำศัพท์จากกลุ่มที่ครูเลือกให้ 
กลุ่มละมุนณีได้ของ smile 





สัปดาห์ที่ 10 เลือกคำศัพท์จาก smile มาแต่งประโยค




สอบสอนสื่อ เรื่อง animal



นำเสนองานกลุมกระบวนการเรยนรู้แบบหมวก 3 ใบ






เนื้อหาที่ 4 เทคนิคในการจัดกิจกรรมโดยใช้ภาษาอังกฤษให้สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กปฐมวัย

เทคนิคในการจัดกิจกรรมโดยใช้ภาษาอังกฤษให้สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กปฐมวัย


เทคนิคการสอนคําศัพทภาษาอังกฤษสําหรับเด็กวัยอนุบาล

1. การเลือกคําศัพท ควรจัดคําศัพทใหอยูในหมวดหมูเดียวกันจะชวยใหจําไดงายขึ้น เชน ศัพทเกี่ยวกับอาหาร เครื่องใชไฟฟา อวัยวะรางกาย สีตางๆ เปนตน
2. วิธีการสอน เนนใหเด็กไดฝกการใชศัพท การสอนศัพทเพียงครั้งเดียวไมพอ จะตองทบทวนบอยๆ ดวยวิธีการอัน หลากหลาย เพื่อมิใหเด็กเกิดความเบื่อหนาย และควรหมั่นทบทวนบอยๆ เพราะถาศัพทที่สอนไปแลวไมไดใช เด็กก็อาจลืมได
3. การสอนคําศัพทใหม การสอนศัพทใหม ควรสอนใหผานประสาทสัมผัสใหมากที่สุด โดยใชรูปแบบประโยคหรือศัพทที่เด็ก เคยเรียนรูมาแลว โดยมีคําที่เปนศัพทใหมปนอยูเพียงคําเดียว แลวใหเดาความหมายของคําศัพทนั้น วิธีนี้จะ ทําใหนักเรียนจําความหมายไดดีกวาแบบบอกตรงๆ
4. การเชื่อมโยงคําศัพทภาษาอังกฤษกับภาษาไทย การแปลความหมายของศัพทเปนภาษาไทยตรงๆ ควรทําตอเมื่อเห็นวาไมอาจใชวิธีอื่นที่ดีกวา เหมาะสมกวาการใหความหมายของคําในภาษาอังกฤษเปนภาษาไทยนั้น ไมเสียหายอะไร แตการแปลแบบ คําตอคําจะทําใหแปลไมรูเรื่องเขาไปใหญ
5. สื่อประกอบการสอน ควรใชสื่อของจริงมาประกอบในการสอนคําศัพทใหม ใหตัวอยางแกเด็กใหมากเพื่อใหเด็กใชตัวอยาง นั้นๆ มาทําความเขาใจ
6. การปฏิบัติตอเด็ก เวลาตอบใหเด็กตอบเปนกลุมกอน เพื่อใหเด็กคนอื่นๆไดเรียนรูไปพรอมๆกัน ไมควรแบงกลุมเด็กเกง เด็กออน พยายามใหเด็กเกิดการโตตอบอยางรวดเร็ว แตไมควรคาดคั้นเด็กที่ตอบไมได ใหตอบใหไดแต พยายามชวยเหลือเด็กโดยการแนะเปนแนวทางไปเรื่อยๆแทน

ลําดับขั้นในการสอนศัพทขั้นพื้นฐาน 

1. ครูออกเสียงคําศัพททีละคํา 2-3 ครั้ง อยางชัดเจน
2. ครูใหความหมายของคําศัพทดวยการใชสื่ออุปกรณหรือแสดงทาทางประกอบใหเด็กลองเดาดูกอน
3. ครูพูดตัวอยางประโยคประกอบดวยคําศัพทนั้นซ้ําๆ 2-3 ครั้ง โดยใหเด็กลองหัดฟงและพูดไปดวย
4. ครูทบทวนคําศัพทที่สอนผานกิจกรรมการรองเพลง เลานิทาน หรือ เปดโอกาศใหเด็กไดเลนเกมทาง ภาษาที่เกี่ยวของกับคําศัพทที่เรียนมา เพื่อเปนการทบทวนหรือเรียนรูซ้ํา
               การสอนคําศัพทภาษาอังกฤษในระดับเด็กอนุบาล สามารถสอนไดหลายวิธีการ เชน เพลง เกม นิทาน ดังตอไปนี้
               รูปแบบการสอนคําศัพทภาษาอังกฤษ การสอนภาษอังกฤษสามารถสอนไดในหลานรูปแบบ ในที่นี้ยกตัวอยางใน 3 รูปแบบ คือ การสอน คําศัพทภาษาอังกฤษผานนิทาน การสอนคําศัพทภาษาอังกฤษผานเพลง การสอนภาษาอังกฤษผานเกม

1. การสอนคําศัพทภาษาอังกฤษผานนิทาน 

  นิทานจัดวาเปนสื่อที่ดีเหมาะที่จะนําไปสอนภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะนิทานประกอบภาพ เพราะภาพ และเนื้อเรื่องในนิทานถือเปนการจําลองเรื่องราว เหตุการณในโลกกวางเปนเรื่องราวสั้นๆ งายๆ สําหรับเด็ก เนื้อเรื่องนาสนใจพรอมภาพประกอบชวยใหเด็กสามารถเชื่อมโยงคําศัพทกับรูปภาพและตัวอักษร ทําใหเด็ก นอกจากจะไดรับความสนุกสนานเพลิดเพลิน มีคติสอนใจ แลวยังเปนการสรางประสบการณในการฟงสิ่งที่ ออกจากปากผูเลาจริงๆ ทั้งความสามารถในการออกเสียง การจดจําโครงสรางรูปคําและการรูวิธีการนําไปใช ในการสนทนา อันจะนําปสูการรักการอานเด็กๆ และเกิดสนใจอยากเรียนรูคําศัพทตางๆ มากขึ้น

เทคนิคการใชนิทานเพื่อสอนภาษาอังกฤษ 

1) การเลือกนิทาน นิทานที่จะเลือกควรเปนนิทานที่มีคําสั้นๆ เนนนิทานที่มีภาพประกอบ อาจเปนนิทานเนนสอน คําศัพท หรือนิทานที่เปนเรื่องที่เด็กสามารถมีกิจกรรมและมีสวนรวมกับเรื่องไดดีตามความสนใจของเด็ก มี การใชภาษาที่เหมาะสมตามวัยและพัฒนาการของเด็ก เนื้อเรื่องมีการใชคําศัพทซ้ํา ใชคําคลองจอง และมี รูปแบบประโยคที่เขาใจงาย เรื่องราวไมซับซอน
2) การเลานิทาน กอนการเลานิทาน ควรพูดคุยกับเด็กในหัวขอที่เกี่ยวกับนิทานอาจเปนประสบการณของครูเอง หรือของเด็กคนใดคนหนึ่งในหอง และเนนการจดจําคําศัพทและสํานวนของภษาตางประเทศ ดวยการใชคํา ซ้ํา สรางบรรยากาศของการใชสํานวนของเจาของภาษา เชน ใหเริ่มตนการเลานิทานดวยการบอกเด็กเปน ประโยคภาษาอังกฤษ เชน I’m going to tell you a story about …….หรือ Once upon the time…...เพื่อ เด็กจะสามารถจํารูปแบบการเลานิทานจากครูไดโดยไมตองสอน
               ใชน้ําเสียงใหเหมาะกับเรื่องและอารมณของตัวละครที่สวมบทบาทอยู มีการใชเสียงสูง ต่ํา เปน จังหวะ โดยเมื่อถึงจุดสําคัญของเรื่องควรเปดโอกาสใหเด็กมีสวนรวม เชนการตั้งคําถามเปนภาษาอังกฤษใน ขณะที่เด็กกําลังอยูในอารมณรวมอยู โดยอาจใบเปนทาทางตามเรื่องเพื่อใหเด็กเกิดความสนุกสนานมากขึ้น
                ควรใชทาทางและสีหนาประกอบการเลา และพยายามใหเด็กมีโอกาสทํากิจกรรมที่เคลื่อนไหว โดยอาจใหเด็กทําทาทางตามตัวละครในเนื้อเรื่อง โดยมีครูเปนผูออกเสียง พูดประโยคตามทาทางนั้นๆ อยาง ชาๆ เพื่อใหเด็กจําทาทางและสําเนียงของภาษา พรอมกับความเพลิดเพลิน นอกจากนี้นักเรียนยังเกิด ความรูสึกวาตนเองมีสวนรวมอยูตลอดเวลา ทําใหการเรียนรูสนุกมากยิ่งขึ้น ครูสามารถใชเกมเพื่อเปนการทบทวนคําศัพทที่เกี่ยวของกับนิทาน มาตอยอดทํากิจกรรมที่ หลากหลายขึ้นเพื่อใหเด็กเขาใจและคุนเคยกับภาษาและคําศัพทในเนื้อเรื่อง
                  ครูสามารถเลาซ้ําหรือทบทวน อยูเสมอ
3) การจัดการชั้นเรียน ครูอาจจะลองจัดที่นั่งใหเด็กใหมใหเด็กลงมานั่งที่พื้นลอมรอบตัวครู หรือ ออกไปเลานิทาน กลางแจงใตรมไม เพื่อสรางบรรยากาศแปลกใหมและพิเศษ
4) สื่อประกอบการเลานิทาน ควรหาอุปกรณและสื่อที่ดึงดูดใหเด็กสนใจวาจะเกิดอะไรขึ้นในชั่วโมงนั้นๆ เชน การนําเพลงมา ใชประกอบเนื้อเรื่องมาเปด เพื่อใชเสียงเพลงกระตุนความรูสึกของเด็กอาจใหเด็กเคลื่อนไหวตามจังหวะหรือ แสดงทาประกอบคําศัพทในเพลงอยางงายหรืออาจใชเทคนิค Finger Play มาสอนคําศัพทในนิทาน การนํา ตุกตามาสมมุติเปนตัวละคร การจัดทําฉากนิทาน3มิติ

 2. การสอนคําศัพทภาษาอังกฤษผานเพลง 

            เพลงเปนสิ่งที่มีประโยชนตอการจัดการเรียนรู ครูผูสอนสามารถใชเพลงสอดแทรกเขาไปในบทเรียน หรือในขณะดําเนินการสอนทุกขั้นตอน ทั้งนี้ขึ้นอยูกับความสอดคลองในเนื้อหาสาระและจุดประสงคการ เรียนรูที่ตองการใหเกิดกับผูเรียนเจริญเติบโตทั้งทางดานรางกาย อารมณ สังคม และสติปญญา ธรรมชาติ ของเด็กชอบการเลนสนุกสนาน ตองการแสดงออก และการรองเพลงอยูแลว หากครูผูสอนไดนําเพลง ภาษาอังกฤษมาประกอบการเรียนการสอน ใหบทเรียนมีความหมาย นาสนใจและสนุกสนานมีชีวิตชีวา ยอมจะชวยใหการสอนภาษาอังกฤษมีความหลากหลายมากขึ้น ไมจํากัดอยูแคการจดจํากฎเกณฑเพียง อยางเดียว เปนการทบทวนเนื้อหาไดเรียนรูไปแลว ใหผูเรียนจดจําไดดียิ่งขึ้น และปลูกฝงเจตคติที่ดีตอ ภาษาอังกฤษ

 เทคนิคการใชเพลงเพื่อสอนภาษาอังกฤษ 

1) การเลือกเพลง 

1. เพลงนั้นตองไมยาวเกินไป เพลงควรมีทํานอง คํารองที่ชัดเจน และไมยาวจนเกินไป
2. เพลงควรมีทํานองที่ซ้ํากัน ซึ่งเปนการงายตอการเรียน
3. เนื้อหาควรถูกตองตามไวยากรณ เชน Subject Verb, Agreement และWord Order
4. เลือกเพลงใหเหมาะสมกับอายุและระดับชั้นของผูเรียน ดังนั้น กอนการนําเพลงมาใชประกอบการเรียนการสอน จึงควรพิจารณาลักษณะของเพลงวา เหมาะสมเพียงไร

2) ลําดับขั้นตอนการสอนเพลง 

1. ครูอธิบายสั้นๆใหนักเรียนเขาใจ เปนบทเพลงเกี่ยวกับอะไร ครูอาจใชอุปกรณการสอน ชวยแสดงความหมายของคําศัพทบางคําที่นักเรียนไมเคยเรียนมากอน
2. ครูรองใหนักเรียนฟง1-2จบ
3. ครูรองนํา1 หรือ2 บรรทัด ใหนักเรียนรองตามเมื่อแนใจวานักเรียนรองไดถูกตองทั้งคํา รองและทํานองจึงรองนําบรรทัดตอไป โดยรองทวนบรรทัดตนๆกอนทุกครั้ง
4. ครูรองพรอมกับนักเรียนตั้งแตตนจนจบ ถาเนื้อเพลงยาวและมีคํายาก ครูอาจเขียนเนื้อ เพลงใหนักเรียนดูในขั้นตอนก็ได อยางไรก็ตาม ไมควรเขียนเนื้อเพลงใหนักเรียนดูกอน เพราะจะทําให นักเรียนเปนกังวลตอการอานหรือสะกดตัวมากไป
5. ครูเขียนเนื้อเพลงใหนักเรียนอานและคัดลอกลงในสมุด ดังนั้นจะเห็นไดวา การสอนเพลงใหถูกวิธีตองปฏิบัติอยางมีขั้นตอน ครูผูสอนตองวางแผน เตรียมสื่อ อุปกรณตางๆใหพรอมโดยเฉพาะตัวครูเอง ตองมีความพรอมเปนอับดับแรก อยางไรก็ตามกอนการรองเพลง ทุกครั้งตองไมลืมที่จะบอกผูเรียนวาเพลงนั้นๆเปนคํารองและทํานองของใคร(ถาทราบ) เพื่อใหเกียรติผูแตงคํา รองและทํานองนั่นเอง

3) การจัดการเรียนการสอน  

               ในการสอนเพลงภาษาอังกฤษ ไมใชแตตองการใหผูเรียนสามารถรองเพลงไดถูกตองทั้งคํารอง ทํานองและจังหวะเทานั้น แตครูผูสอนยังตองใชวิธีการตางๆใหผูเรียนรองเพลงอยางเขาใจความหมายและ วัฒนธรรมเจาของภาษา และใชเพลงเปนเครื่องมือเสริมประสบการณตางๆไดดวยตนเอง
1. เลาเรื่องหรือสรางเรื่องปากเปลาเกี่ยวกับเพลงนั้น
2. เขียนเรื่องเกี่ยวกับเพลงนั้น
3. ดัดแปลงเนื้อเพลงเปนบทสนทนาสั้นๆ
4. นําแบบประโยคที่พบในบทเพลงที่เรียนในบทที่แลวมาเปนตัวอยางในการสรางประโยคใหม
5. หาคําใหมมาใชประโยคเดิมในบทเพลงนั้น
6. คิดหาทางายๆหรือการแสดงประกอบจังหวะงายๆมาใชประกอบ
               ดังนั้น สรุปไดวา การใชเพลงเพื่อสงเสริมทักษะการเรียนรูทางภาษาจะมีประโยชนโดยตรงตอผูเรียน มาก หากครูผูสอนเขาใจจุดประสงคการสอนเพลง เลือกเพลงไดเหมาะสมกับระดับของผูเรียน และปฏิบัติ อยางมีขั้นตอน

3. การสอนคําศัพทภาษาอังกฤษผานเกม 

                เกมเปนหนึ่งในการจัดการเรียนการสอนโดยเฉพาะเกมภาษาอังกฤษซึ่งภาษาอังกฤษมีความสําคัญ ตอการเรียนการสอนอยูเสมอ เพราะภาษาอังกฤษเปนภาษาระหวางชาติที่ใชกันอยางแพรหลายทั่วโลกการใช เกมประกอบการสอนภาษาอังกฤษจะชวยทําใหผูเรียนสนุกสนานกับบทเรียน ไมนาเบื่อ เปดโอกาสใหผูเรียน ฝกความกลาในการใชภาษา ทําใหผูเรียนมีความมั่นใจเมื่อนําภาษาอังกฤษไปใชในชีวิตประจําวัน และชวย ใหผูเรียนมีทัศนคติที่ดีตอการเรียนการสอนภาษาอังกฤษดวย สวนประกอบของเกมไดแก ชื่อเกม จุดมุงหมาย การแบงกลุม อุปกรณ และขอเสนอแนะในการเลนเกมผูสอนและผูเลนควรดัดแปลงแตละเกมใหเหมาะสมกับ สภาพหองเรียน ระดับความรู และความสามารถของผูเรียนดวย

เทคนิคการใชเพลงเพื่อสอนภาษาอังกฤษ

1) การเลือกเพลง เกมภาษาแบงได 2 ประเภทคือ 
              1. Communicative Games เกมนี้มีจุดประสงคใหผูเรียนสื่อสาร สนทนา แลกเปลี่ยน หรือ ปรับปรุงแตงขอมูล โดยใชโครงสราง ภาษาหรือคําศัพทที่กําหนดให 
              2. Non-communicative Games เกมนี้สรางขึ้นเพื่อใหผูเรียนไดรับความสนุกสนาน คลาย ความเครียด สวนใหญเกมเหลานี้จะเนนในรูปการแขงขัน มีผูแพ ผูชนะ
2) ลําดับขั้นตอนการสอนเพลง
              1.ขั้นเลือก ควรคํานึงถึงภาษาที่ใช ควรเหมาะกับระดับความสามารถของผูเรียนและขนาด ของชั้นเรียนดวย
              2.ขั้นเตรียมการ เตรียมการใชเกมกอนลวงหนาเปนอยางดี โดยเฉพาะอุปกรณที่จะใชในการ เลนเกม
              3.ขั้นการใชเกม อธิบายวัตถุประสงคของเกม และวิธีการเลน พรอมทั้งกําหนดกติกาอยาง ชัดเจน เพื่อใหเกมเปนไปอยางมีระเบียบ จากนั้นลงมือเลนเกม โดยแบงกลุมตามความเหมาะสม
              4.ขั้นประเมินผล ถาหากการเลนเกมเปนแบบลักษณะการแขงขัน ควรใหคะแนนสําหรับกลุม ที่ทําไดถูกตองโดยการเขียนคะแนนบนกระดาน กลุมใดที่ทําผิดพลาดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
3) การจัดการเรียนการสอน
              1.ทําความคุนเคยกับเกมมากอนนําไปใชประกอบการสอน โดยอานกติกาเลนหลายๆครั้ง เพื่อใหเกิดความเขาใจที่ดี
              2.เลือกใชใหเหมาะสมกับขั้นตอนการสอน โดยพิจารณาวาควรใชเกมใดในขั้นตอนใด
              3.อธิบายวิธีการเลนเกมแกผูเรียนอยางชัดเจน จงตระหนักเสมอวาเด็กทุกคนในชั้นเรียน เขาใจวิธีการเลน  
              4.ควรแสดงวิธีการเลนดวยตนเอง โดยยืนอยูหนาชั้นเรียน เพื่อใหผูเรียนทั้งชั้นมองเห็นอยาง ทั่วถึง
              5.ควรปฏิบัติตามกติกาที่กําหนดไวในแตละเกมอยางเครงครัด
              6.ควบคุมเกมในขณะที่เลนอยาใหผูเลนสงเสียงดังมากเกินไป ทําใหระเบียบวินัยของ หองเรียนเสีย
              7.สังเกตปฏิกิริยาของผูเรียนแตละคนในขณะที่เลน ไมควรติเตียนผูกระทําผิดอยางรุนแรง                         8.อยาเลนเกมนั้นนานจนเกินไป แตละเกมควรใชเวลา 8-10 นาที
              9.อยาใชเกมบางอยางบอยนัก เพราะจะทําใหผูเรียนไมกระตือรือรนในการเลน
              10.ศึกษาขอเสนอแนะของเกมแตละอัน เพื่อดัดแปลงวิธีเลนใหสอดคลองตามสภาพการ เรียนการสอน
ที่มา :  http://www.programmee.com/cu_web/activity/ASEAN%20FAMILY%20NEW.pdf


พัฒนาการและการเรียนรู้ภาษาของเด็กปฐมวัย

                  การเรียนรู้ภาษาของเด็กปฐมวัยจะแตกต่างไปจากวิธีการเรียนรู้ภาษาของผู้ใหญ่เนื่องจากระดับวุฒิภาวะทางสติปัญญาของเด็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ เด็กยังไม่สามารถคิดสิ่งที่เป็นนามธรรมได้ ไม่สามารถใช้อวัยวะทุกส่วนที่เกี่ยวกับการพัฒนาทางภาษาได้อย่างเต็มที่ ความสามารถเหล่านี้ขึ้นอยู่กับระดับพัฒนาการของเด็กแต่ละวัย และเนื่องจากภาษามีคุณสมบัติที่เป็นนามธรรม จึงต้องใช้สัญลักษณ์พิเศษแทนความหมาย ซึ่งเด็กเล็กจะเรียนรู้ภาษาได้จากการได้ยินได้ฟังการพูดของพ่อแม่ ผู้เลี้ยงดู หรือจากการดำรงชีวิตประจำวันเมื่ออยู่ที่บ้าน จากนั้นเมื่อมาอยู่ในสถานศึกษาเด็กจะเรียนรู้จากครูและผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยการเลียนแบบเสียงที่ได้ยินจากผู้อื่นก่อนและจะสะสมคำแล้วสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นเอง ด้วยการนำคำที่สะสมไว้มาผสมผสานกันเพื่อเปล่งเสียงออกมา พัฒนาการต่อมาเมื่อเด็กโตขึ้น ก็จะเพิ่มคำเรื่อย ๆ และผูกเป็นประโยคตามขั้นตอนหรือพัฒนาการการเรียนรู้ภาษาของเด็ก อย่างไรก็ตามเพื่อให้เด็กเรียนรู้ภาษาเป็นไปตามพัฒนาการ พ่อแม่ ครูผู้ปกครองหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ต้องจัดประสบการณ์ทางภาษาให้มีความหมายกับเด็กประกอบกับการแสวงหาแนวทางในการส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาที่หลากหลายให้เหมาะสมกับความแตกต่างของเด็กเป็นรายบุคคล เพื่อเด็กจะได้เกิดการเรียนรู้ภาษาอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด


การเรียนรู้แบบลงมือกระทำ : หัวใจสำคัญของกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย

        การเรียนรู้แบบลงมือกระทำ (Active Learning) เป็นการเรียนรู้ซึ่งเด็กได้จัดกระทำกับวัตถุ ได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล ความคิด และเหตุการณ์ จนกระทั่งสามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Hohmann and Weikart, 1995) การเรียนรู้แบบลงมือกระทำเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาเด็ก และจะเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดในโปรแกรมที่พัฒนาเด็กอย่างเหมาะสมกับพัฒนาการ การเรียนรู้แบบลงมือกระทำมีองค์ประกอบที่สำคัญ ดังนี้
                   1. การเลือกและตัดสินใจ เด็กจะเป็นผู้ริเริ่มกิจกรรมจากความสนใจและความตั้งใจของตนเอง เด็กเป็นผู้เลือกวัสดุอุปกรณ์และตัดสินใจว่าจะใช้วัสดุอุปกรณ์นั้นอย่างไร การที่เด็กมีโอกาสเลือกและตัดสินใจจะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองมากกว่าได้รับการถ่ายทอดความรู้จากผู้ใหญ่ ดังนั้น ผู้ใหญ่ที่ตระหนักถึงความสำคัญเรื่องการเลือกและการตัดสินใจ ต้องจัดให้เด็กมีอิสระที่จะเลือกได้ตลอดทั้งวันขณะที่ปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน ไม่ใช่เฉพาะในช่วงเวลาเล่นเสรีเท่านั้น
                2. สื่อ ห้องเรียนที่เด็กเรียนรู้แบบลงมือกระทำจะมีเครื่องมือ และวัสดุอุปกรณ์ที่หลากหลาย เพียงพอ และเหมาะสมกับระดับอายุของเด็ก เด็กต้องมีโอกาสและมีเวลาเพียงพอที่จะเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์อย่างอิสระ เมื่อเด็กใช้เครื่องมือหรือวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เด็กจะมีโอกาสเชื่อมโยงการกระทำต่างๆ และเรียนรู้ในเรื่องของความสัมพันธ์ และมีโอกาสในการแก้ปัญหามากขึ้นด้วย
                     3. การใช้ประสาทสัมผัสทั้ง การเรียนรู้ด้วยการลงมือกระทำเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประสาทสัมผัสทั้ง การที่ให้เด็กได้สำรวจและจัดกระทำกับวัตถุโดยตรงทำให้เด็กรู้จักวัตถุ หลังจากที่เด็กคุ้นเคยกับวัตถุแล้วเด็กจะนำมาวัตถุต่างๆมาเกี่ยวข้องกันและเด็กจะได้เรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์ ผู้ใหญ่มีหน้าที่จัดให้เด็กค้นพบความสัมพันธ์เหล่านี้ด้วยตนเอง
                      4. ภาษาจากเด็ก สิ่งที่เด็กพูดจะสะท้อนประสบการณ์และความเข้าใจของเด็ก ในห้องเรียนที่เด็กเรียนรู้แบบลงมือกระทำเด็กมักจะเล่าว่าตนกำลังทำอะไร หรือทำอะไรไปแล้วในแต่ละวัน เมื่อเด็กมีอิสระในการใช้ภาษาเพื่อสื่อความคิดและรู้จักฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เด็กจะเรียนรู้วิธีการพูดที่เป็นที่ยอมรับของผู้อื่น เด็กจะได้พัฒนาการคิดควบคู่ไปกับการพัฒนาความเชื่อมั่นในตนเองด้วย
                   5. การสนับสนุนจากผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ในห้องเรียนที่เรียนรู้แบบลงมือกระทำต้องสร้างความสัมพันธ์กับเด็ก สังเกตและค้นหาความตั้งใจและความสนใจของเด็ก ผู้ใหญ่ควรรับฟังเด็ก ส่งเสริมให้เด็กคิดและทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง

        ในห้องเรียนที่เด็กเรียนรู้แบบลงมือกระทำ เด็กจะได้ปฏิสัมพันธ์กับวัตถุ คน แนวคิด และเหตุการณ์สำคัญต่างๆ อย่างหลากหลาย สิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในชีวิตประจำวันอย่างเป็นธรรมชาติ และการที่เด็กมีประสบการณ์สำคัญซ้ำแล้วซ้ำอีกเช่นนี้ก็จะช่วยให้เด็กสามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเองในที่สุด การจัดประสบการณ์ให้เด็กเรียนรู้แบบลงมือกระทำเป็นการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับหลักการทำงานของสมอง และเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง กล่าวคือ เมื่อเด็กลงมือปฏิบัติ เด็กจะได้ใช้ผัสสะในการรับรู้ข้อมูลทั้งในรูปของภาพ เสียง สัมผัส ทั้งยังประกอบด้วยประสบการณ์ของเหตุการณ์ต่างๆ การใช้วงจรของเซลส์สมองพร้อมๆ กันมากเท่าใด เสถียรภาพความเชื่อมโยงของวงจรก็เกิดได้เร็วเท่านั้น (สถาบันส่งเสริมอัจฉริยภาพและนวัตกรรมการเรียนรู้, 2550) จึงสามารถกล่าวได้ว่าการจัดการเรียนรู้แบบลงมือกระทำถือเป็นหัวใจสำคัญของกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย

กิจกรรมหลัก กิจกรรม:แนวทางในการจัดประสบการณ์แบบบูรณาการในระดับปฐมวัยที่สอดคล้องกับหลักการทำงานของสมอง

                          แนวทางการจัดประสบการณ์ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยกำหนดให้จัดประสบการณ์ในรูปแบบบูรณาการทั้งทักษะและสาระการเรียนรู้ คำว่า "บูรณาการ" จึงเป็นคำที่คุ้นเคยสำหรับครู แต่อาจเกิดความเข้าใจที่สับสนว่าการบูรณาการเป็นการนำองค์ความรู้ต่างๆ มากองรวมกัน โดยทึกทักเหมารวมเอาไว้ด้วยกันอย่างไม่สามารถแยกแยะอะไรได้ และอ้างว่าให้เด็กทำกิจกรรม ทั้งๆ ที่ครูก็ไม่ชัดเจนว่าผสมผสานอะไรไว้ด้วยกัน การบูรณาการถือว่าเป็นแนวทางหนึ่งของการสอน รวมทั้งเป็นปรัชญาในการสอนที่นำเนื้อหาความรู้จากหลายวิชามาสัมพันธ์ที่จุดเดียวกัน (Focus) หรือหัวเรื่อง (Theme) เดียวกัน (วลัย พานิช, 2546) ทั้งนี้ วรนาท รักสกุลไทย (2548) ได้สรุปความหมายของการจัดประสบการณ์แบบ บูรณาการไว้ว่าเป็นการจัดประสบการณ์ที่นำความรู้ ความคิดรวบยอด ทักษะ และประสบการณ์สำคัญทั้งมวลที่ผู้เรียนจะได้รับในสาระการเรียนรู้ต่างๆ มาเชื่อมโยงผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างมีความหมาย และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ ซึ่งเป็นการขจัดความซ้ำซ้อน ความไม่สัมพันธ์ และความไม่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในระดับปฐมวัยศึกษา ซึ่งเน้นการพัฒนาโดยองค์รวม
                          เมื่อพิจารณาความหมายของการบูรณาการจะเห็นได้ว่าความรู้ ความคิด และประสบการณ์สำคัญต่างๆ นั้นต่างมีความสัมพันธ์กัน และหน่วยย่อยที่สัมพันธ์กันเหล่านี้เกิดการผสมผสานหลอมรวมจนเกิดเอกลักษณ์ใหม่ที่มีความเป็นหนึ่งเดียว 
                         แนวทางหนึ่งในการจัดประสบการณ์แบบบูรณาการที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัย ซึ่งเป็นการจัดประสบการณ์ที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง
                           1. กิจกรรมเสรี เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กเล่นกับสื่อและเครื่องเล่นอย่างอิสระตามมุมเล่น หรือมุมประสบการณ์ หรือศูนย์การเรียนที่จัดไว้ โดยให้เด็กมีโอกาสเลือกเล่นได้อย่างเสรีตามความสนใจและความต้องการของเด็ก ทั้งเป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม ลักษณะของการเล่นของเด็กมีหลายลักษณะ เช่น การเล่นบทบาทสมมติและเล่นเลียนแบบ ในมุมบ้าน มุมหมอ มุมร้านค้า มุมวัด มุมเสริมสวย ฯลฯ การอ่านหรือดูภาพในมุมหนังสือ การเล่นสร้างในมุมบล็อก การสังเกตและทดลองในมุมวิทยาศาสตร์หรือมุมธรรมชาติ การเล่นฝึกทักษะต่างๆ ในมุมเครื่องเล่นสัมผัสหรือมุมของเล่นหรือมุมเกมการศึกษาเป็นต้น
                               การจัดกิจกรรมเสรี หากครูจัดมุมเล่นโดยจัดวางวัสดุอุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสมกับวัย ไม่ท้าทาย หรือไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรเลยย่อมทำให้เด็กเสียโอกาสในการเรียนรู้ เพราะสมองจะเรียนรู้ได้ดีเมื่อมีสิ่งจูงใจที่ชักนำให้สมองสนใจผลิตความรู้ สมองจะมีกระบวนการเลือกคัดกรองเฉพาะสิ่งที่น่าสนใจเท่านั้นเข้าสู่การรับรู้ของสมอง ทั้งนี้ การจัดมุมเล่นที่ดีที่สามารถส่งเสริมจึงควรจัดสื่อที่ตรงกับความสนใจของเด็ก เหมาะสมกับระดับพัฒนาการ จัดอุปกรณ์ให้เพียงพอกับเด็ก และจัดวางให้เด็กหยิบใช้และเก็บเองได้ จัดให้น่าสนใจ และดึงดูดให้เด็กเข้าไปเล่น โดยมีการเปลี่ยนแปลงสื่อที่จัดไว้อย่างสม่ำเสมอตามหัวข้อที่เด็กสนใจและกำลังเรียนรู้ตามหลักสูตรเพื่อกระตุ้นให้เด็กต้องการเรียนรู้ ทั้งนี้ครูอาจให้เด็กมีส่วนร่วมในการจัดมุมเล่นด้วยก็ได้ สิ่งสำคัญคือต้องจัดเวลาให้เด็กมีโอกาสได้เล่นหรือจัดกระทำกับสื่อต่างๆอย่างเพียงพอ

                        2. กิจกรรมสร้างสรรค์ เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กได้แสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึก ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และจินตนาการโดยใช้ศิลปะ เช่น การเขียนภาพ การปั้น การฉีกปะ ตัดปะ การพิมพ์ภาพ การร้อย การประดิษฐ์ หรือวิธีการอื่นๆ ที่เด็กได้คิดสร้างสรรค์ ได้รับรู้เกี่ยวกับความงาม และได้แสดงออกทางความรู้สึก และความสามารถของตนเอง การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ควรจัดให้เด็กทำทุกวัน โดยอาจจัดวันละ 3-5 กิจกรรม ให้เด็กเลือกทำอย่างน้อย 1-2 กิจกรรมตามความสนใจ
                      การจะพัฒนาด้านศิลปะและการสร้างสรรค์ให้เด็กต้องเข้าใจว่า ศิลปะคือกระบวนการที่สมองถอดความคิดออกมาเป็นภาพและชิ้นงานต่างๆกระบวนการพัฒนาศิลปะและการสร้างสรรค์ของเด็กจึงเน้นให้เด็กคิดและลงมือทำออกมาเมื่อเด็กทำงานศิลปะเด็กจะเกิดการเชื่อมโยงในสมอง คิดจินตนาการ และผลโดยตรงที่เด็กได้รับ คือ ความรู้สึกพอใจ มีความสุข และได้สัมผัสสุนทรียะของโลกตั้งแต่วัยเยาว์ การแสดงออกทางศิลปะจึงเปรียบเสมือนการสร้างจินตนาการเป็นรูปร่างภายนอกแล้วป้อนกลับเข้าสู่สมอง เป็นการทำให้สมองได้จัดการกับจินตนาการต่างๆ ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ยิ่งทำ ยิ่งจัดระบบความคิดได้ดีขึ้น ในการใช้กิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาสมอง ครูจึงควรให้เด็กมีเวลาเต็มที่ในการทำงานศิลปะ ให้เด็กมีประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส มีโอกาสทดลองใช้วัสดุ และเครื่องมือที่หลากหลาย ได้พูดคุยเกี่ยวกับงานของตนเองหรือให้เด็กได้จัดแสดงและนำเสนอผลงาน ศิลปะของเด็กไม่ควรเน้นการลอกเลียนแบบ หรือการทำให้เหมือนของจริง เนื่องจากสายตาและจินตนาการของเด็กวัยนี้ยังไม่ได้มุ่งไปสู่ความถูกต้องของสัดส่วน แสง หรือเงา
              3. กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างอิสระตามจังหวะ โดยใช้เสียงเพลง คำคล้องจอง เครื่องเคาะจังหวะ หรืออุปกรณ์อื่นๆมาประกอบการเคลื่อนไหว เพื่อส่งเสริมให้เด็กเกิดจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ เด็กวัยนี้ร่างกายกำลังอยู่ในระหว่างพัฒนา การใช้ส่วนต่างๆ ของร่างกายยังไม่ผสมผสานหรือประสานสัมพันธ์กันอย่างสมบูรณ์ การทำกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะช่วยให้เด็กเรียนรู้จังหวะและควบคุมการเคลื่อนไหวของตนเองได้
                สมองส่วนที่รับผิดชอบหลักเกี่ยวกับการจัดสมดุลของร่างกาย คือ สมองเล็กหรือซีรีเบลลั่ม (Cerebellum) การกระตุ้นสมรรถนะของสมองส่วนนี้จะส่งผลต่อการพัฒนาความสามารถในด้านการรับข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมไปด้วยพร้อมๆ กัน ช่วงปฐมวัยเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการพัฒนาทักษะเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ซึ่งจะช่วยพัฒนาระบบความสัมพันธ์ของประสาทสัมผัส เด็กต้องพัฒนาความสามารถในการใช้ตา มือ เท้า และประสาทรับความรู้สึกต่างๆ ให้สัมพันธ์กัน การเคลื่อนไหวร่างกายของเด็กเป็นการเตรียมสมรรถนะของร่างกายทุกส่วนเพื่อใช้ประโยชน์ในการมีชีวิตอยู่ และพร้อมกันนั้นการเคลื่อนไหวร่างกายก็พัฒนาความสามารถของสมองอันเป็นเครื่องมือของการเรียนรู้ไปด้วย
                        4. กิจกรรมเสริมประสบการณ์ เป็นกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้เด็กได้พัฒนาทักษะการเรียนรู้ ฝึกการทำงานและอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มทั้งกลุ่มย่อยและกลุ่มใหญ่ กิจกรรมที่จัดมุ่งฝึกให้เด็กได้มีโอกาสฟัง พูด สังเกต คิดแก้ปัญหา ใช้เหตุผล และฝึกปฏิบัติเพื่อให้เกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับเรื่องที่เรียน โดยจัดกิจกรรมด้วยวิธีต่างๆ เช่น สนทนา อภิปราย เล่านิทาน สาธิต ทดลอง ศึกษานอกสถานที่ เล่นบทบาทสมมติ ร้องเพลง เล่นเกม ท่องคำคล้องจอง ประกอบอาหาร เชิญวิทยากรมาพูดคุยกับเด็กฯลฯ
                        กระบวนการให้สมองเรียนรู้ที่จะให้ความหมายสิ่งที่เห็น สิ่งที่เผชิญ ตีความ และสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งต่างๆ ที่รับรู้มา เป็นการพัฒนากระบวนการคิดของเด็ก ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลจากการรับรู้ของสมองจำนวนมาก ถ้าไม่มีข้อมูลในความทรงจำ ก็ไม่สามารถคิดอะไรออกมาได้ ดังนั้นกระบวนการพัฒนาการคิดของของเด็กจึงต้องมุ่งเน้นให้เด็กได้มีประสบการณ์ที่ต้องใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า สิ่งที่ก่อรูปในการคิดของเด็กเริ่มต้นที่การจับต้อง สัมผัส และมีประสบการณ์โดยตรง สมองรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า แล้วก่อรูปเป็นวงจรแห่งการคิดขึ้นมาในสมอง ประสบการณ์ของเด็กผ่านการสัมผัส การชิม การดมกลิ่น การได้ยิน และการเห็น จึงเป็นพื้นฐานของการสร้างความหมายให้แก่สิ่งต่างๆ ครูจึงควรออกแบบกิจกรรมเสริมประสบการณ์ให้เด็กเรียนรู้แบบลงมือกระทำซึ่งจะทำให้เด็กมีโอกาสใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า รวมทั้งจัดให้เด็กมีประสบการณ์ในสถานการณ์จำลองทุกอย่างที่เป็นไปได้ เพื่อกระตุ้นให้เด็กคิดสิ่งที่ซับซ้อนขึ้นตามลำดับ เด็กจะได้เคยชินกับการใช้ความคิดและคิดเป็นในที่สุด   
                           5. กิจกรรมกลางแจ้ง เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้มีโอกาสออกไปนอกห้องเรียนเพื่อออกกำลัง เคลื่อนไหวร่างกายและแสดงออกอย่างอิสระ โดยยึดความสนใจและความสามารถของเด็กแต่ละคนเป็นหลัก กิจกรรมกลางแจ้งที่ควรจัดให้เด็กได้เล่น เช่น การเล่นเครื่องเล่นสนามที่เด็กได้ปีนป่าย โยกหรือไกว หมุน โหน เดินทรงตัว หรือ เล่นเครื่องเล่นล้อเลื่อน การเล่นทราย การเล่นน้ำ การเล่นสมมติในบ้านจำลอง การเล่นในมุมช่างไม้ การเล่นกับอุปกรณ์กีฬา การเล่นเกมการละเล่นฯลฯ
                             การพัฒนาด้านการเคลื่อนไหวของร่างกาย เป็นการพัฒนาโครงสร้างทั้งระบบของร่างกายที่ใช้ในการควบคุมสั่งการตัวเอง และการรับข้อมูลจากสิ่งแวดล้อม กระบวนการพัฒนาร่างกายและการเคลื่อนไหวของเด็กจำเป็นต้องได้รับการกระตุ้นอย่างเต็มที่ เพื่อให้ร่างกายทุกส่วนทั้งกล้ามเนื้อมัดใหญ่และกล้ามเนื้อมัดเล็กให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ กระบวนการเหล่านี้ต้องเน้นให้เด็กได้ใช้งานร่างกายให้ครบถ้วน และพัฒนาจนมีสมรรถนะดีเต็มตามศักยภาพของเด็ก นอกจากนี้การที่เด็กได้เล่น ไม่ว่าจะเป็นการหมุนตัว กระโดด คลาน กลิ้ง วิ่ง ไต่ ฯลฯ จะช่วยพัฒนาความสามารถในการรับรู้ระยะ มิติ มีการพัฒนาสมองให้สมดุลเป็นปกติ สิ่งที่เด็กเล่น เช่น การควบคุมท่าทางการเดิน การวิ่งแข่ง การเล่นกระบะทราย การเดินบนกระดานแผ่นเดียว ล้วนเป็นการทำซ้ำๆดัดแปลงท่าทางที่ไม่สมบูรณ์เพื่อสร้างสมองให้พร้อมสำหรับการใช้งานในวัยถัดไป
                            6. กิจกรรมเกมการศึกษา เป็นเกมการเล่นที่ช่วยพัฒนาสติปัญญา มีกฎเกณฑ์กติกาง่ายๆ เด็กสามารถเล่นคนเดียว หรือเล่นเป็นกลุ่มก็ได้ ช่วยให้เด็กรู้จักสังเกต คิดหาเหตุผล และเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสี รูปร่าง จำนวน ประเภท และความสัมพันธ์เกี่ยวกับพื้นที่/ระยะ เกมการศึกษาที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย เช่น เกมจับคู่ เกมแยกประเภท จัดหมวดหมู่ เรียงลำดับ โดมิโนลอตโตภาพตัดต่อฯลฯ



  • พัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัย

                        ภาษาของเด็กในวัยนี้มีความสำคัญมาก เด็กพร้อมที่จะฝึกทักษะทางภาษาทั้งในด้านการรู้คำศัพท์ การออกเสียงคำให้ชัดเจน การใช้ประโยคเพื่อการติดต่อสื่อสาร การบอกชื่อวัตถุ สิ่งของ เป็นต้น แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น อายุ เพศ โอกาส และสิ่งแวดล้อมที่เป็นองค์ประกอบในการพัฒนาได้ดีกว่าเด็กชายในระยะแรก แต่อย่างไรก็ตามลักษณะพัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัยเป็นไปตามขั้นตอนมีลักษณะเหมือนขั้นบันไดเริ่มตั้งแต่การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน โดยแต่ละขั้นตอนจะมีความเหลื่อมล้ำเชื่อมสัมพันธ์กันและกัน ไม่แยกกันโดยสิ้นเชิง พัฒนาการทางภาษาขั้นต้นจะเป็นพื้นฐานของการพัฒนาการทางภาษาขั้นที่สูงขึ้น
                        พัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัย ครอบคลุมทักษะทางภาษา 4 ด้าน ได้แก่ ทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียน ซึ่งแต่ละทักษะจะมีพัฒนาการไปตามวัย ดังนี้
                        6.1 พัฒนาการด้านการฟัง
                              การฟังเป็นกระบวนการแรกของการรับรู้ และเป็นตัวจัดประกายให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยวุฒิภาวะ เวลา ความพากเพียร และแรงจูงใจ การพัฒนาการฟังจะเป็นขั้นตอนตามระดับอายุของผู้ฟัง ดังตารางที่ 2.2


ตารางที่ 2.2 พัฒนาการทางภาษาด้านทักษะการฟังของเด็กปฐมวัย
อายุ
พัฒนาการด้านการฟัง
3 ปี  4 ปี
1. ฟังนิทานสั้น ๆ หนังสือสั้น ๆ หรือเรื่องราวได้อย่างตั้งใจ โดยเฉพาะประเภทเทพนิยาย
2. เข้าใจคำสั่งครู และปฏิบัติตามคำสั่ง ข้างหน้า  ข้างหลัง ข้างบน  ข้างล่าง และข้าง ๆ ได้
3. ปฏิบัติตามคำสั่งได้ 2  3 ขั้นตอน
4. สนใจฟังวิทยุ โทรทัศน์ โดยเฉพาะการฟังละคร
4 ปี  5 ปี
1. ชอบฟังนิทาน เรื่องสั้น ๆ หรือเรื่องราวและบอกตัวละครที่ชอบได้ โดยเฉพาะประเภทเทพนิยาย เช่น สโนไวท์ ซิลเดอเรลล่า เจ้าหญิงนิทรา ถ้ามีโอกาสได้แสดงบทบาทสมมติตามเรื่อง เด็กจะพอใจมาก
2. ปฏิบัติตามคำสั่งที่ต่อเนื่อง 3  4 ขั้นตอน
5 ปี  6 ปี
1. ชอบฟังเรื่องราว เรื่องสั้นต่าง ๆ โดยเฉพาะเกี่ยวกับปรากฎการณ์ตามธรรมชาติ และบอกตัวละครที่ชอบได้
2. มีมารยาทในการฟัง
3. มีสมาธิในการฟังเรื่องที่สนใจ
4. รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
5. ฟังคำสั่งหลายขั้นตอนที่ไม่เกี่ยวข้องและสามารถปฏิบัติได้
ที่มา  (ชิตาพร  เอี่ยมสะอาด, 2548 : 24)
                        6.2 พัฒนาการด้านการพูด
                              พัฒนาการทางภาษาพูดของเด็กเป็นไปตามขั้นตอนเช่นเดียวกับการฟัง ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสติปัญญา การส่งเสริม และโอกาสในการเรียนรู้ของเด็ก เป็นการพัฒนาที่มีกระบวนการต่อเนื่องมาตั้งแต่แรกเกิด โดยเริ่มจากการฟังเสียงรอบตัวและพัฒนาไปถึงขั้นการใช้คำอย่างมีความหมาย มีการใช้ประโยคยาวขึ้น จนกระทั่งเด็กสามารถใช้ประโยคที่ซับซ้อนและมีความหมายสมบูรณ์มากขึ้นเป็นลำดับ ดังตารางที่ 2.3

ตารางที่ 2.3 พัฒนาการทางภาษาด้านทักษะการพูดของเด็กปฐมวัย

อายุ
พัฒนาการด้านการพูด
3 ปี  4 ปี
1. สนใจภาษาของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะคำแสลง หรือคำอุทานที่ไม่สุภาพแล้วเก็บมาพูด
2. สนทนาโต้ตอบหรือเล่าเรื่องราวสั้น ๆ ได้
3. ตอบคำถามง่าย ๆ ได้
4. ใช้คำบุพบท บน  ล่าง ได้
5. พูดเลียนแบบจะพูดประโยคยาวมากขึ้น เช่น หนูรักคุณครูเท่าฟ้า
6. บอกชื่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายและสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวได้
7. ชอบพูดคนเดียว คุยกับเพื่อนในฝัน
8. ตั้งคำถามผู้ใหญ่ อะไร ทำไม
3 ปี  4 ปี
1. สนใจคำถามเกี่ยวกับการเกิด เช่น หนูออกมาจากท้องแม่ทางไหน และยังสนใจเรื่องความตาย เช่น ทำไมคุณปู่จึงตาย คุณปู่ตายแล้วไปอยู่ที่ไหน  คุณปู่จะทานอาหารอย่างไร
2. บอกชื่อภาพของสิ่งของที่คุ้นเคยได้
3. ท่องคำคล้องจองหรือเพลงสั้น ๆ พร้อมกับเคลื่อนไหวได้
4. บอกความรู้สึก ความต้องการพื้นฐาน เช่น หิว ร้อน เจ็บปวด และปัสสาวะได้
5. ยังออกเสียงพูดไม่ชัดเจน เช่น ร ล ด ส
4 ปี  5 ปี
1. พูดคำคล้องจอง ร้องเพลงสั้น ๆ และทำท่าประกอบได้
2. สามารถเข้าใจคำพูดมากขึ้น
3. สนทนาโต้ตอบหรือเล่าเรื่องราวที่จะพูดเป็นประโยคต่อเนื่องได้


ตารางที่ 2.3 

อายุ
พัฒนาการด้านการพูด
4 ปี  5 ปี
4. เข้าใจข้อความยาว ๆ ของผู้ใหญ่ได้ดีขึ้น และพูดประโยคที่ซับซ้อนโดยใช้คำต่าง ๆ ได้
5. บอกชื่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายหรือสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว อยู่ในชุมชนและสังคม รวมทั้งเรียกชื่อวันสำคัญต่าง ๆ ได้
6. บอกความรู้สึกและความต้องการพื้นฐานได้อย่างมีความหมายมากขึ้น
7. ซักถามสิ่งที่อยู่ในใจด้วยคำถาม อะไร ทำไม อย่างไร และตอบคำถามเหล่านั้นได้
8. ใช้ภาษาถูกกาลเทศะขึ้น
9. พยายามพูดข้อความยาว ๆ โดยเลียนแบบผู้ใหญ่ในการสร้างประโยค เช่น หนูจะอ่านหนังสือทุกวัน จะได้เก่งเหมือนพ่อ
10. รู้จักคำประมาณ 3,000  6,000 คำ
11. ชอบพูดคำว่า เพราะว่า...
5 ปี  6 ปี
1. ชอบสนทนากับเพื่อนหรือผู้ใหญ่มากกว่าเล่นสิ่งของ
2. มีความสนุกสนานที่ได้สนทนา
3. บอกความต้องการพื้นฐานได้
4. อธิบายความรู้สึกและความต้องการได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว
5. ใช้ท่าทางประกอบในการเล่าเรื่อง
6. อธิบายภาพและเล่าเรื่องจากภาพได้
7. เล่านิทานที่เคยได้ยินหรือสิ่งที่พบเห็นได้
8. ตั้งคำถามถามผู้อื่นว่าอย่างไร
9. ตอบคำถามโดยอาศัยการรับรู้
10. ซักถามสิ่งที่สงสัยและร่วมอภิปรายหาคำตอบได้
11. ใช้คำบุพบท สันธานง่าย ได้ เช่น กับ แต่ และ เป็นต้น
12. พูดคำคล้องจอง ร้องเพลง และทำท่าประกอบได้

ที่มา  (ชิตาพร  เอี่ยมสะอาด, 2548 : 26  28)
                       

                  6.3 พัฒนาการด้านการอ่าน
                              ทักษะการอ่านเป็นกระบวนการที่ต้องเริ่มต้นตั้งแต่เด็กอยู่ในวัยทารก และเด็กนั้นพร้อมจะอ่านตั้งแต่อยู่ในวัยเกือบจะแรกเกิด โดยเริ่มด้วยความสนใจในรูปภาพที่เร้าใจ ก่อนเริ่มอ่านอักษรหรืออ่านสัญลักษณ์ ลักษณะการอ่านจะเป็นการอ่านจากสิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวันหรืออ่านจากหนังสือภาพแล้วพัฒนาเป็นการอ่านประกอบคำ อ่านพยัญชนะ หรืออ่านประโยคโดยรู้ความหมายมากขึ้นตามลำดับของพัฒนาการเด็ก ดังตารางที่ 2.4

ตารางที่ 2.4 พัฒนาการทางภาษาด้านทักษะการอ่านของเด็กปฐมวัย
อายุ
พัฒนาการด้านการอ่าน
3 ปี  4 ปี
1. สนใจหนังสือที่ผู้ใหญ่อ่านให้ฟัง
2. เริ่มมีความต้องการที่จะอ่านหนังสือ เช่น หยิบหนังสือมาให้ผู้ใหญ่อ่านให้ฟัง เปิดดูหนังสือด้วยตนเอง เป็นต้น
3. อ่านพยัญชนะได้บ้าง
4. อ่านหนังสือประกอบภาพได้คล่อง แต่จำอักษรไม่ได้
5. ชอบดูรูปภาพสัตว์เลี้ยง ดอกไม้
6. อาจรู้จักคำง่าย ๆ (บางคนใช้วิธีท่องจำ บางคนก็จำได้เอง)
7. เปิดและทำท่าอ่านหนังสือ
3 ปี  4 ปี
1. แสดงความสนใจที่จะอ่านด้วยการมองภาพและตัวหนังสือในนิทาน
2. ทำท่าอ่านหนังสือโดยอาศัยภาพและความจำ
3. เลือกหนังสือที่ตนสนใจให้ผู้อื่นอ่านให้ฟัง
4. อ่านคำสั้น ๆ ได้โดยอาศัยความจริง
5. จำพยัญชนะได้แม่นยำโดยไม่ต้องใช้ภาพช่วย
6. เริ่มรู้จักตัวสะกดง่าย ๆ
7. ชอบอ่านหนังสือเสียงดังเต็มที่
8. สนใจหนังสือตัวโต ๆ คำง่าย ๆ
4 ปี  5 ปี
1. สามารถเข้าใจหนังสือรูปภาพได้รวดเร็ว
2. ชอบหนังสือเกี่ยวกับอนามัย หรือการใช้เหตุผลง่าย ๆ หรือการใช้คำสุภาพ
3. อ่านชื่อตัวเอง ป้ายประกาศ ชื่อขนมที่รับประทานบ่อยได้บ้าง
4. ชอบอ่านโฆษณาในโทรทัศน์ ยี่ห้อรถยนต์ หรือยี่ห้อสินค้าอื่น ๆ


ตารางที่ 2.4 

อายุ
พัฒนาการด้านการอ่าน
5 ปี  6 ปี
1. อ่านเป็นจริงเป็นจังขึ้น
2. สนุกกับการอ่านชีวประวัติบุคคลสำคัญ
3. อ่านหนังสือรู้ความหมายมากขึ้น
4. เปิดและทำท่าอ่านหนังสือโดยอาศัยภาพและความจำ
5. เลือกหนังสือที่ตนสนใจให้ผู้อื่นอ่านให้ฟัง

ที่มา  (ชิตาพร  เอี่ยมสะอาด, 2548 : 29  30)

                        6.4 พัฒนาการด้านการเขียน
                              การเขียนของเด็กเริ่มจากการขีดเขี่ยเส้นที่ไม่มีความหมายจนเป็นตัวอักษรได้ใกล้เคียงกับผู้ใหญ่ ซึ่งพัฒนาการในการเขียนของเด็กนั้นขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความสนใจ วุฒิภาวะทางอารมณ์ ความสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อตาและสติปัญญา ครูผู้สอนจึงควรเตรียมเด็กให้พร้อมในองค์ประกอบดังกล่าวก่อนที่จะสอนเขียนอย่างเป็นทางการ การสอนนั้นไม่ควรบังคับเด็กเพราะจะทำให้เด็กเกิดความเครียดวิตกกังวลต่อการเขียน ท้ายสุดส่งผลให้เด็กเกิดเจตคติที่ไม่ดีต่อการเขียนจากแรงจูงใจภายในที่จะเขียน แต่ควรให้เขียนเมื่อเด็กต้องการจะเขียน สำคัญที่สุดคือควรเตรียมความพร้อมในการเขียนให้เด็กตามพัฒนาการแต่ละวัย ซึ่งพัฒนาการเขียนของเด็กปฐมวัยสรุปได้ดังตารางที่ 2.5

ตารางที่ 2.5 พัฒนาการทางภาษาด้านทักษะการเขียนของเด็กปฐมวัย

อายุ
พัฒนาการด้านการเขียน
3 ปี  4 ปี
1. จำชื่อตัวเองได้ หรืออาจเขียนชื่อตนเองได้
2. เขียนอักษรได้บางตัว
3. ขีดเขียนตามความสนใจ
4. ชอบวาดภาพระบายสี
5. วาดรูปวงกลมตามแบบได้
6. คัดลอกตัวอักษรที่เห็นได้
7. บอกข้อความให้ผู้ใหญ่เขียนได้
4 ปี  5 ปี
1. เขียนชื่อตนเองได้แต่ตัวอักษรอาจไม่เท่ากัน
2. เขียนพยัญชนะ ตัวเลขได้ แต่อาจไม่เรียงลำดับ
3. เขียนตัวอักษรได้แต่บางทีหัวกลับ หรือสลับตัวอักษร
4. เขียนตามแบบผู้ใหญ่ได้
5. วาดภาพที่ยากขึ้นได้และภาพมีความสมบูรณ์ขึ้น
6. วาดรูปสี่เหลี่ยมตามแบบและวงกลมเข้าด้วยกันได้
7. ใช้เชือกร้อยสิ่งของได้
8. ตัดกระดาษให้อยู่ในแนวระหว่างเส้นสองเส้นได้
9. ขีดเขียนเป็นลายเส้นคล้ายตัวอักษร
5 ปี  6 ปี
1. วาดรูปสามเหลี่ยม (D) ตามแบบได้
2. ใช้เชือกร้อยวัสดุตามแบบได้
3. ตัดกระดาษตามเส้นได้
4. เขียนโดยคิดตัวสะกดขึ้นเอง เช่น ก ข แทนคำว่ากินข้าว
5. เขียนสะกดคำใกล้เคียงกับวิธีสะกดของผู้ใหญ่
6. เขียนคำที่คุ้นเคยได้
7. สื่อความหมายของคำที่เขียนได้มากขึ้น
8. ขีดเขียนชื่อตนเอง คำ ข้อความที่ลอกหรือจำมาได้

ที่มา  (ชิตาพร  เอี่ยมสะอาด, 2548 : 31  32)
www.yalaopec.go.th/yalaopec2011/images/stories/082556/0956/7.doc

                        สรุปได้ว่า พัฒนาการทางภาษาเริ่มพัฒนาเป็นกรรมานการอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่แรกเกิด แล้วจะพัฒนาการไปตามลำดับขั้นตอนของพัฒนาการตามวัยของเด็กโดยเริ่มจากการฟังเสียงจากสิ่งรอบตัว แล้วพัฒนาไปสู่คำที่มีความหมาย

                        พัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัยมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตามระดับอายุ และเป็นไปอย่างต่อเนื่อง แต่ละขั้นตอนมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน นั่นคือพัฒนาการทางภาษาขั้นต้นเป็นพื้นฐานของการพัฒนาขั้นที่สูงขึ้นโดยเริ่มจากทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียนตามลำดับ กล่าวคือ พัฒนาการด้านการฟังเป็นฐานข้อมูลไปสู่พัฒนาการด้านการพูดส่วนการอ่านเป็นฐานข้อมูลไปสู่พัฒนาการด้านการเขียน เป็นต้น